ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาคการศึกษาในอดีตละเลย "การเรียนรู้คู่ปฏิบัติจริง" จนนำไปสู่วิกฤติแรงงานด้านต่างๆ เพราะผลิตคนไม่ตรงกับความต้องการ แถมด้อยคุณภาพ ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะเดียวกันมีความพยายามของ "ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์" เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ชูนโยบายการเรียนการสอนระบบทวิภาคี จับคู่สถานประกอบการกับสถานศึกษา ดูเหมือนว่า แค่นำร่องบางสาขาวิชาก็แก้วิกฤติแรงงานได้ในระดับหนึ่ง แต่ที่ "วิทยาลัยการอาชีพกาญจนาภิเษกหนองจอก (วก.กาญจนาภิเษกหนองจอก) ก้าวหน้าไปกว่านั้น เพราะนำ "ระบบทวิภาคี 100%" มาใช้ในการเรียนการสอน
"ผมคิดมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เหตุผลที่คิดล่วงหน้า เพราะต้องการผลักดันนักศึกษาที่เรียนจบ ปวช.3 ได้เข้าสู่โลกการทำงานในสถานประกอบการอย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้นผมต้องทำความเข้ากับผู้ปกครองว่า ลูกหลานเรียนจบแล้วจะมีความรู้ออกไปประกอบอาชีพได้ ผมต้องทำความเข้าใจกับนักศึกษาทุกคนในการคิดทำงาน เพื่อหารายได้ช่วยครอบครัว และเรียนต่อ ปวส.ได้" ดร.ชาญเวช บุญประเดิม ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพกาญจนาภิเษกหนองจอก กล่าวถึงที่มาระบบทวิภาคี 100%
ระบบทวิภาคี 100% เริ่มเมื่อปีการศึกษา 2557 มีรูปแบบการเรียนการสอนต่างจากการเรียนทั่วๆ ไป เพราะนักศึกษาจะเข้าไปทำงานในสถานประกอบการ เป็นพนักงานจริงๆ ของบริษัท ได้รับสวัสดิการ มีรายได้ต่อเดือน มีประกันสังคม และทำงาน 5-6 วันต่อสัปดาห์ และกลับมาเรียนที่ วก.กาญจนาภิเษกหนองจอก 1-2 วันต่อสัปดาห์
"ผมเชื่อมั่นว่า การศึกษาแบบทวิภาคีจะเป็นการศึกษาที่สถานศึกษามีความร่วมมือกับสถานประกอบการ ในการผลิตคนให้ตรงกับความต้องการตลาดแรงงานมากยิ่งขึ้น" ดร.ชาญเวช กล่าว
เหนืออื่นใด ก่อนจะจัดการศึกษาระบบทวิภาค 100% นั้น ดร.ชาญเวช เล่าว่า ก่อนปีการศึกษา 2557 มีการนำร่องหลักสูตรนี้ ในสาขางานเทคนิคยานยนต์ รับนักศึกษาจำนวน 22 คน มีการทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง ทำความเข้าใจกับนักศึกษา และทำความเข้าใจกับบริษัทมิลเลี่ยน คัลเลอร์ จำกัด สถานประกอบการที่รับ ปะ ผุ เคาะ พ่นสี รถยนต์ที่เกิดเหตุ ในการดำเนินงานจะส่งนักศึกษาไปทั้งชุดจำนวน 22 คน ไปที่บริษัทเดียว
"การนำร่องทวิภาคีในระยะแรกพ่อแม่ผู้ปกครองยังไม่เข้าใจ ตอนหลังเมื่อลูกหลานทำงาน มีรายได้ มีวินัย รู้สึกพึงพอใจ สถานประกอบการก็พึงพอใจนักศึกษาที่เรียนหลักสูตรนี้ ที่ทำให้นักศึกษาเข้าใจชีวิตการทำงานมากขึ้น เพราะได้เห็นสถานที่จริง เป็นการเปลี่ยนค่านิยมของนักศึกษาและผู้ปกครอง ในการนำความรู้มาพัฒนาประเทศ เพราะไทยขาดแรงงานระดับช่างมีฝีมือ ช่างทักษะ ปวช.3/ปวส. ช่างเทคนิคจำนวนมาก" ดร.ชาญเวช กล่าว
ดร.ชาญเวช กล่าวต่อว่า การสอนทวิภาคีเต็มทุกรูปแบบทุกสาขาวิชา เชื่อว่าตลาดยอมรับมาก ดูจากจำนวนนักศึกษาที่ส่งไป 100 คน ก็มีงานทำ มีรายได้มั่นคง รับเงินเดือนขั้นต่ำ 10,000 บาท ไม่รวมเงินค่าโอที เช่น เป็นช่างไฟฟ้า ทำให้นักศึกษาได้ทำงานนอกสถานที่
"นักศึกษาของเราทำงานในพื้นที่ที่มีพี่น้องชาวมุสลิม 80% มีชาวพุทธ 20% เราจะส่งนักศึกษาชาวพุทธไปพัฒนามัสยิดยัมอุ้ล อิควาน อยู่ห่างจากวิทยาลัย 1 กิโลเมตร ขณะเดียวกันก็ส่งนักศึกษาที่เป็นมุสลิมไปดูแลวัด พัฒนาศาสนสถานให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ที่ภาคภูมิใจมากได้แก่ การสนับสนุนเยาวชนเรียนศาสนาของตัวเองหลังจากเรียนภาคปกติ จากเดิมมีเรียนศาสนา 10 คน ปัจจุบันมี 120 คน เราจัดภูมิทัศน์โดยรอบอาคารเรียน รวมถึงสนับสนุนคอมพิวเตอร์ในการเรียนการสอนศาสนา จนเป็นที่ยอมรับของชุมชน" ดร.ชาญเวช กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ไม่เพียงเท่านั้น ดร.ชาญเวช ยังวาดหวังว่า ก้าวต่อไปของ วก.กาญจนาภิเษกหนองจอก เมื่อนักศึกษาเรียนสำเร็จจะมีงานทำทันที แต่ต้องช่วยกัน ผู้ปกครอง ชุมชน ช่วยกันพีอาร์การจัดการเรียนการสอนทวิภาคี ว่า เรียนแล้วดีมีรายได้ ขอแนะนำให้สถานศึกษาเดินเข้าไปพูดคุยหารือกับสถานประกอบการในการผลิตนักศึกษาจบออกไปประกอบอาชีพได้จริง
"ขอบคุณคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีความเข้าใจนักศึกษาอาชีวะ และให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาด้านอาชีวะเป็นอย่างมาก มีการยกย่องผ่านสื่อหลายครั้ง ทำให้นักศึกษาอาชีวะมีความภาคภูมิใจมาก นั่นถือว่าเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่นักเรียนและนักศึกษาอาชีวะมาก ผมอยากจะบอกการศึกษาเป็นสิ่งที่งดงาม คนจะอยู่ในสังคมได้เป็นอย่างดีต้องเป็นผู้มีความรู้ สังคมไทยในอดีตเป็นสังคมที่บริสุทธิ์ มีความรัก มีความเข้าใจ มีลำดับชั้นของการนับถือกันมาตลอด ดังนั้นคนไทยทุกคนควรได้รับการศึกกษาอย่างเท่าเทียมกัน การศึกษาด้านอาชีวศึกษาเป็นทางเลือกหนึ่ง สามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพได้" ดร.ชาญเวช กล่าวทิ้งท้าย
0 กมลทิพย์ ใบเงิน 0 รายงาน
รูปกล่อง-Dr.20(Open: ภาพเปิด/Dr.canwet1-2: ดร.ชาญเวช บุญประเดิม/005: มัสยิด/006: วัด)
