ไลฟ์สไตล์

เนรมิต 'สังข์ทอง' สู่เมืองเกษตรต้นแบบ

เนรมิต 'สังข์ทอง' สู่เมืองเกษตรต้นแบบ

12 ต.ค. 2557

ท่องโลกเกษตร : ม.เกษตรฯ ผนึกสภาหอการค้าฯ สปป.ลาว เนรมิต 'สังข์ทอง' สู่เมืองเกษตรต้นแบบ : โดย...สุรัตน์ อัตตะ

 
                              นับเป็นอีกก้าวของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและสปป.ลาว หลังการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติสปป.ลาว นำโดยรองประธาน "ดร.สะนั่น จุนลามานี" และคณะ เพื่อลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) ในการจัดตั้ง "ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรและอาชีพ เมืองสังข์ทองหรือสังข์ทองโมเดล" ระหว่างสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาเกษตรศาสตร์ และสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติ สปป.ลาว เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว
 
                              ภารกิจในวันนั้น ไม่เพียงแค่การลงนามที่เป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ "รศ.วุฒิชัย กปิลกาญจน์" และรองประธานฯ "ดร.สะนั่น จุนลามานี" แต่คณะทั้งหมดเดินทางไปศึกษาดูงานการเรียนรู้วิถีเกษตรครบวงจรตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของปราชญ์เกษตรที่ประสบความสำเร็จในท้องที่ อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม อีกด้วย 
 
                              หลังเสร็จสิ้นพิธีลงนาม จากนั้นคณะของสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติ สปป.ลาวทั้งหมด พร้อมด้วยผู้บริหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำโดย "ผศ.อนุพร สุวรรณวาจกกสิกิจ" ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมฯ ลงพื้นที่ดูงานยังสถานที่ดังกล่าว โดยเริ่มจากศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้านปลักไม้ลายของสุธรรม จันทร์อ่อน เกษตรกรดีเด่น สาขาบัญชีฟาร์ม ปี 2553 ปราชญ์เกษตรแห่ง ต.ทุ่งขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
 
                              "หวัดดีครับทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่ศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้านปลักไม้ลายครับ" สุธรรม จันทร์อ่อน ประธานศูนย์ฯ กล่าวต้อนรับคณะศึกษาดูงานจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคณะสภาหอการค้าฯ สปป.ลาว จากนั้นฟังบรรยายสรุปประวัติความเป็นมาของศูนย์เรียนรู้แห่งนี้ และกิจกรรมต่างๆ ภายในศูนย์ ซึ่งเต็มไปด้วยพืชผัก ผลไม้ ผักสวนครัว และพืชสมุนไพรที่ไม่ใช้สารเคมี 
 
                              สุธรรมยกเหตุผลให้ฟังว่า ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายถึงรุ่นพ่อแม่ก็ทำการเกษตรแบบพอเพียง ไม่ได้พึ่งพาสารเคมีเหมือนสมัยนี้ แต่ทำไมก็อยู่กันได้ดี  เมื่อ 10 ปีที่แล้วที่เริ่มหันมามองว่าสารเคมีนอกจากส่งผลเสียต่อสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวแล้ว พื้นดินที่เป็นที่ทำมาหากินก็ยังเสื่อมโทรมลงจากการสะสมของสารเคมีอีกด้วย  
 
                              ขณะเดียวกัน พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ทรงกล่าวถึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จึงเป็นทางออกทางรอดของเกษตรกรโดยแท้ จากนั้นจึงหันมาทำเกษตรพึ่งพาสารอินทรีย์ชีวภาพและปฏิเสธการใช้ปุ๋ยเคมีหรือสารเคมีทุกชนิด ทำให้ทุกวันนี้ครอบครัวสุธรรมมีความสุขดีจากการเพาะปลูกพืชผักแบบผสมผสาน 
 
                              บนพื้นที่ 17 ไร่ แบ่งเป็นฟาร์มวัว บ่อเลี้ยงปลา แปลงหญ้า ประมาณ 10 ไร่ ส่วนอีก 7 ไร่ เป็นที่ปลูกบ้านที่พักอาศัยและปลูกหน่อไม้ฝรั่ง พริก มะเขือ  กล้วยน้ำว้า และไผ่ไว้รอบๆ บริเวณ ซึ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นการผลิตที่เกื้อกูลกันเช่นมูลวัวก็นำมาทำปุ๋ยคอกใส่ในแปลงผักเพิ่มความอุดมสมบูรณ์เศษผักก็นำไปเลี้ยงปลาเลี้ยงวัว
 
                              "ที่ศูนย์มีการทำปุ๋ยหมักเองมาใส่แทนปุ๋ยเคมี ปลูกพืชผักตามสภาพพื้นที่ ปลูกผักหวานตามแนวทางเดิน ปลูกกล้วยไว้บังร่มให้พริก ปลูกผักปลัง ผักบุ้งไว้คลุมดิน มีการตัดหญ้าแล้วเอาคลุมดินไว้ ไม่เผา ใบไม้ที่ร่วงหล่นลงดิน ย่อมยังประโยชน์ต่อพื้นดินเสมอ ทั้งเป็นปุ๋ย ทั้งห่มดินให้เย็น เมื่อผืนดินเย็นชุ่มชื้นก็ไม่ต้องรดน้ำ ไส้เดือนจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ก็มาอาศัยแถมบำรุงดิน โดยที่เราไม่ต้องใส่ปุ๋ยเติมเข้าไป" ประธานศูนย์ฯ คนเดิมเผย
 
                              ไม่เพียงนาข้าว พืชผักและไม้ผลเท่านั้นที่ไม่ใช้สารเคมี การเลี้ยงไก่ไข่ก็ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีเช่นกัน โดยการเลี้ยงไก่ของเขาจะใช้วิธีการปล่อยในป่าไผ่ ล้อมด้วยตาข่ายเอาไว้โดยรอบ ส่วนอาหารไก่ก็ใช้ของเหลือใช้ปลายข้าวจากการสีข้าว และรำ และหยวกกล้วยมาให้เสริม ในขณะที่ไก่ก็ยังคุ้ยเขี่ยหากินปลวก ซึ่งเกิดจากการนำไม้ไปวางไว้เป็นชั้นๆ ทำให้ไก่ได้กินโปรตีนเพื่อจะได้ไข่ไก่ที่มีคุณภาพสูง
 
                              หลังใช้เวลาเดินสำรวจพื้นที่อยู่พักใหญ่ โดยวิทยากรปราชญ์ชาวบ้าน เดินพาชมตามจุดต่างๆ ภายในศูนย์ จากนั้นทั้งหมดก็อำลาเจ้าของสถานที่ ก่อนจะเดินทางไปสู่ที่หมายในจุดต่อไป นั่นก็คือแปลงปลูกฟักข้าวของ "พรชัย จานิมิตร" เกษตรกรหัวก้าวหน้าที่พลิกชีวิตด้วยวิถีเกษตร จนประสบความสำเร็จบนพื้นที่เพียงแค่ 2 ไร่เศษ 
 
                              โดยใช้หลักการบริหารจัดการมองการตลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับเกษตรกรยุคใหม่ จึงได้ตัดสินใจคัดเลือกชนิดพืชที่ตลาดต้องการ มีอายุการเก็บเกี่ยวไม่นาน และมีการจัดวางระบบวิธีการปลูกที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ความเหมาะสมและสัมพันธ์กัน เพื่อจะได้มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตขาย จึงจะทำให้มีรายได้ทุกวัน     
 
                              ปัจจุบันสวนเกษตรผสมผสานของพรชัย นอกจากปลูกฟักข้าวแล้ว ยังมีการปลูกพืชชนิดอื่น อาทิ มะกอก ปลูกเพื่อเก็บใบขาย หน่อไม้ฝรั่ง ชะอม กล้วยน้ำว้า เผือก และยังมีสร้างโรงเรือนเพาะเห็ดนางฟ้าภูฏานและเห็ดโคนญี่ปุ่น ซึ่งก็สามารถเก็บผลผลิตได้ทุกวันเช่นเดียวกัน โดยผลผลิตทั้งหมดจะมีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อถึงสวน  
 
                              นี่เป็นภารกิจสำคัญในการเดินทางมาดูงานของคณะสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติ สปป.ลาว เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปปรับใช้กับ เมืองสังข์ทอง ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างสองสถาบัน 
 
                              และในระหว่างวันที่ 14-16 ตุลาคม 2557 นี้ คณะผู้บริหารสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำโดย ผศ.อนุพร สุวรรณวาจกกสิกิจ ผู้อำนวยการ เดินทางสู่เมืองสังข์ทอง สปป.ลาวเพื่อร่วมกันวางแผนกับทางสภาหอการค้าฯ สปป.ลาว ในการจัดตั้ง "ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรและอาชีพ เมืองสังข์ทองหรือสังข์ทองโมเดล" อย่างเป็นทางการต่อไป
 
 
 
 
 
 
---------------------------------------
 
(ท่องโลกเกษตร : ม.เกษตรฯ ผนึกสภาหอการค้าฯ สปป.ลาว เนรมิต 'สังข์ทอง' สู่เมืองเกษตรต้นแบบ : โดย...สุรัตน์ อัตตะ)