ไลฟ์สไตล์

อาการแสบร้อนหน้าอกระวัง ! กรดไหลย้อน

01 ก.ค. 2557

ดูแลสุขภาพ : อาการแสบร้อนหน้าอกระวัง ! กรดไหลย้อน

 
                        เป็นภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการสำคัญ ได้แก่ อาการแสบร้อนบริเวณหน้าอก และมีน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขม ไหลย้อนขึ้นมาทางปาก ภาวะกรดไหลย้อนนี้ ถ้าเป็นเรื้อรังอาจทำให้เกิดพยาธิสภาพในหลอดอาหาร ได้แก่ หลอดอาหารอักเสบ มีเลือดออกจากหลอดอาหาร และอาจจะทำให้ปลายหลอดอาหารตีบได้ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุหลอดอาหาร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงกลายเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ในที่สุด
 
                        อาการของผู้ป่วยขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ถูกระคายเคืองโดยกรด เช่น
 
 
1.อาการทางคอหอยและหลอดอาหาร
 
                        - กลืนลำบาก ติดๆ ขัดๆ คล้ายมีก้อนอยู่ในคอ หรือกลืนเจ็บ
 
                        - เจ็บคอ มีเสมหะอยู่ในลำคอ โดยเฉพาะในตอนเช้า หรือระคายคอ ตลอดเวลา
 
                        - อาการปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่บางครั้งอาจร้าวไปที่บริเวณคอได้
 
                        - เรอบ่อย คลื่นไส้ คล้ายมีอาหารหรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาในอกหรือคอ
 
                        - รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในคอ หรือปาก 
 
 
 
2.อาการนอกระบบหลอดอาหาร
 
                        - มีกลิ่นปาก เสียวฟัน หรือมีฟันผุได้
 
                        - เป็นหวัดเรื้อรัง
 
                        - เสียงแหบเรื้อรัง หรือแหบเฉพาะตอนเช้า หรือมีเสียงผิดปกติไปจากเดิม
 
                        - ไอเรื้อรัง รู้สึกสำลักน้ำลาย หรือหายใจไม่ออกในเวลากลางคืน จนอาจทำให้ต้องตื่นกลางดึก
 
                        - อาการหอบหืดที่เคยเป็นอยู่ (ถ้ามี) แย่ลง หรือไม่ดีขึ้นจากการใช้ยา เจ็บหน้าอก โรคปอดอักเสบ เป็นๆ หายๆ
 
 
การรักษา
 
                        1.ปรับเปลี่ยนนิสัย และการดำเนินชีวิตประจำวัน (lifestyle modification) และหลีกเสี่ยงอาหารที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรค
 
                        2.การรักษาโดยการใช้ยา
 
 
การปรับเปลี่ยนนิสัยและการดำเนินชีวิตประจำวัน ควรปฏิบัติดังนี้
 
 
1.นิสัยส่วนตัว
 
                        - อย่าให้เครียด และงดการสูบบุหรี่
 
                        - หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับ หรือรัดแน่น โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว
 
                        - พยายามลดน้ำหนักถ้าน้ำหนักเกิน
 
                        - ถ้ามีอาการท้องผูก ควรรักษาและหลีกเลี่ยงการเบ่ง
 
 
นิสัยในการรับประทานอาหาร
 
                        - หลีกเลี่ยงการนอนราบ ออกกำลัง การยกของหนัก การเอี้ยวหรือก้มตัว หลังจากรับประทานอาหารทันที หรืออย่างน้อยควรห่างกัน 3 ชม. 
 
                        - รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยการทอด อาหารมัน อาหารย่อยยาก พืชผักบางชนิด เช่น หัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ ฟาสต์ฟู้ด
 
                        - หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกช็อกโกแลต ถั่ว ลูกอม peppermints เนย ไข่ นมหรืออาหารที่มีรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด กาแฟ ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ 
 
                        - รับประทานอาหารปริมาณพอดีในแต่ละมื้อไม่ควรรับประทานอาหารจนอิ่มแน่นท้องมาก
 
 
นิสัยการนอน
 
                        - ไม่ควรนอนหลังการรับประทานอาหารทันที หรืออย่างน้อยควรห่างกัน 3 ชม.
 
                        - เวลานอน ควรหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้นประมาณ 6-10 นิ้วจากพื้นราบ
 
 
การรับประทานยา
 
                        - ควรรับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ไม่ควรลดขนาดยาหรือหยุดยาเอง และมาพบแพทย์ตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องเพื่อปรับขนาดยา
 
                        - อย่าซื้อยารับประทานเองเวลาป่วย เนื่องจากยาบางชนิดจะทำให้กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดเพิ่มขึ้น หรือกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัวมากขึ้น
 
                        - ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่มีอาการของ GERD สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา
 
 
 
 
นพ.จีรวัส ศิลาสุวรรณ  
 
อายุรแพทย์ระบบทางเดินอาหารและตับ 
 
โรงพยาบาลพญาไท 2 อินเตอร์เนชั่นแนล