ไลฟ์สไตล์

ถ้ำเซบั้งไฟ ความอลังการแห่งการค้นหา

ถ้ำเซบั้งไฟ ความอลังการแห่งการค้นหา

29 มิ.ย. 2557

ชวนเที่ยว : ถ้ำเซบั้งไฟ ความอลังการแห่งการค้นหา : เรื่อง / ภาพ ... ภูฟ้า-ภูตะวัน

 
                         แหล่งธรรมชาติที่แสนท้าทายอีกเส้นทางหนึ่งที่เราได้ติดตามสืบค้นหาข้อมูล พร้อมกับโอกาสที่เป็นไปได้ในการออกสำรวจถ้ำใหญ่ในดินแดน สปป.ลาวคือ “ถ้ำเซบั้งไฟ”  ในแขวงเมืองคำม่วน ภาพและข้อมูลเบื้องต้นเราได้มาจากคณะ National Geographic ที่ไปสำรวจมาแล้ว แต่จากข้อมูลการเดินทางของเราคงไม่สำเร็จถ้าไม่ได้เรือคยัคจาก บริษัท Green discovery มาช่วยให้การสำรวจครั้งนี้
 
                         เราข้ามผ่านแดนที่สะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 นครพนม เพื่อไปยังแขวงคำม่วน สปป.ลาว โดยมีจุดหมายปลายทางที่ บ้านหนองปิง เมืองบัวละพา โดยเลือกใช้เส้นทางหมายเลข 12 ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศเวียดนาม เส้นทางสายนี้เคยมีชื่อเสียงในยุคสงครามอินโดจีน โดยเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ในการเคลื่อนทัพของกองทัพเวียดนามเหนือที่นำโดยโฮจิมินห์ใช้ขนส่งกำลังและอาวุธยุทธปัจจัย อ้อมเขตทหารบริเวณตอนกลางของประเทศเข้าไปในลาวและกัมพูชาก่อนเข้าไปโจมตีเวียดนามใต้โดยใช้ทางเท้าและจักรยานโดยเรียกทางเส้นนี้ว่า โฮจิมินห์เทรล
 
                         จากเส้นทางลาดยางสู่เส้นทางดินสภาพสองข้างทางพอเริ่มเห็นเป็นป่ามากขึ้น เส้นทางดินปนฝุ่นตลบอบอวลจนกระทั่งมาถึงสายน้ำที่ทอดตัวยาวขวางเส้นทางถนน นั่นคือลำน้ำเซบั้งไฟ ที่มีความกว้างร่วมร้อยเมตร ที่เราต้องเดินทางกันต่อบนถนนที่อยู่ใต้สายน้ำนี้ ซึ่งมีแนวถนนอยู่ใต้น้ำมีหินเรียงกำหนดเส้นทางไว้ชัดเจน ชาวบ้านเองก็ใช้รถอีแต๊กผ่านไปมาตามเส้นทางนี้ 
 
                         เราได้ข้อมูลมาว่าในสมัยสงครามอินโดจีนทางอเมริกามักนำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดตามเส้นทางยุทธศาสตร์สะพานข้ามน้ำเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงของข้าศึก แต่ฝ่ายโฮจิมินห์ก็ใช้กลยุทธ์หลอกล่อลวง พรางถนนให้อยู่ใต้น้ำ เครื่องบินไม่สามารถมองเห็นสะพานจึงรอดพ้นจากการทิ้งระเบิด
 
                         ไม่นานนักเราก็มาถึงบ้านหนองปิงที่อยู่อยู่ริมน้ำเซบั้งไฟ โดยถ้ำเซบั้งไฟอยู่ห่างออกไป 2 กม.เราได้บ้านพักที่มีอยู่หลังเดียวในหมู่บ้านพร้อมกับรีบติดต่อหาคนนำทางโดยมีองค์กร GIZ ช่วยประสานข้อมูลการสำรวจถ้ำเซบั้งไฟที่กล่าวขานกันว่าเป็นถ้ำน้ำลอดที่มีขนาดใหญ่และยาวร่วม 10 กิโลเมตร ซึ่งทีมงานเลือกเส้นทางเดินป่า เข้าไปยังปากถ้ำตอนบน แล้วจะล่องเรือยางทะลุมายังปากถ้ำใกล้หมู่บ้านโดยกำหนดแผนให้เสร็จสิ้นภายในวันเดียว แม้ว่าจะมืดจะค่ำสักแค่ไหน
 
                         “ระยะทางเดิน 12 หลักกับสภาพเดินขึ้นเขาสูงอีก 9 หน่วย”
 
                         นี่คือข้อมูลจากชาวบ้านและมีผลไปถึงค่าลูกหาบ ค่านำทาง 600 บาทต่อ 1 คน แล้วยังเรือยางที่ยังตามมาไม่ถึง กำลังเป็นอุปสรรคของการสำรวจภายในถ้ำเสียแล้ว ลุ้นถึงวันรุ่งเช้าเรือก็มาถึง แต่กว่าจะได้เริ่มเดินทางก็สายมากแล้ว อุปกรณ์ต่างๆ ต้องเตรียมให้พร้อมไฟฉาย ไฟสำรอง อาหาร น้ำดื่ม อุปกรณ์ถ่ายภาพ อุปกรณ์ป้องกันน้ำและอื่นๆ ที่ต้องเตรียมให้รัดกุม
 
                         เนินเขาหน่วยแรกทั้งสูงทั้งชันจริงๆ ส่วนหน่วยต่อไปก็เส้นทางธรรมดาสรุปเบ็ดเสร็จแล้วสูงชันแค่ลูกเดียว ระยะทางรวมแล้วไม่น่าเกิน  8 กม. เราก็ถึงลำน้ำเซบั้งไฟ ข้างตลิ่งเห็นคราบตะกอนของน้ำป่าปรากฏอยู่สูงมากๆ ไม่น่าต่ำกว่า 100 เมตร คาดว่าช่วงน้ำป่าพัดหลากมาแล้วไหลเข้าถ้ำไม่ทันจนเกิดการเอ่อล้นท่วมท้นขึ้นไปสูงมาก
 
                         ทุกคนมารวมตัวกันที่ปากถ้ำ กินข้าวเที่ยงเสร็จ สูบลมเรือยาง จับคู่ลงเรือ มีชาวบ้านที่เคยเข้าถ้ำนี้มาแล้วตามมาด้วยสองคน ส่วนที่เหลือเดินย้อนกลับหมู่บ้าน ห้วงเวลาของความตื่นเต้นเริ่มขึ้นเมื่อก้าวสู่ห้วงมืดพร้อมกับเสียงแก่งใหญ่ที่อยู่ข้างหน้า เพื่อไม่ต้องเสี่ยงผ่านแก่งในถ้ำมืด จึงต้องลากเรือข้ามแก่งไปในจุดที่ปลอดภัยที่สุด
 
                         แสงไฟฉายที่ถูกกลืนหายไปในอุโมงค์มืดขนาดใหญ่ บางแห่งไฟฉายก็ไม่สามารถส่องไปถึงเพดานถ้ำ กลางลำน้ำจะมีแก่งกีดขวางทางน้ำ อยู่ 5-6 จุดที่เราต้องใช้วิธีลากเรือข้ามไป 
 
                         ความมหัศจรรย์ของโถงถ้ำและหินงอกหินย้อยอันเป็นภาพที่สวยงาม จนต้องแวะจอดถ่ายภาพเก็บไว้ บางแห่งจะมองเห็นเพดานถ้ำสูงมากๆ บางแห่งก็เป็นหาดทรายริมน้ำ ถัดขึ้นไปจะเป็นหินงอกหินย้อยที่ถูกจรรโลงสร้างขึ้นมาท่ามกลางโลกมืด โดยเฉพาะม่านหินย้อยในรูปแบบ Flowstone ที่อยู่บนผนังผาริมหาด ซึ่งเราก็ได้ชื่นชมภาพเหล่านั้นอย่างเต็มตา
 
                         เสียงปลาขนาดใหญ่ฮุบน้ำดังโผงๆ ขณะที่เรือพายไปในความมืดอย่างช้าๆ ห้วงเวลาของแสงตะวันที่เราได้ผ่านมาตั้งแต่เที่ยง ก็ยังไม่เห็นแสงตะวันลอดเข้าในถ้ำแม้แต่น้อย และคาดว่าจะไปทะลุปากถ้ำที่บ้านหนองปิงก็จะเป็นช่วงเวลามืดเช่นกัน เพราะการเดินทางสำรวจเป็นไปค่อนข้างช้ามากๆ จากการหยุดถ่ายภาพอยู่หลายจุด และยังต้องลากเรือยางข้ามโขดแก่งหินอยู่อีก 5-6 จุด
 
                         เราจอดแวะริมหาดด้านซ้ายเพื่อขึ้นไปสำรวจถ้ำระเบียงทราย มีหลายห้องมีม่านระย้าของหินปูนที่มีงดงามแพรวพราว และบางห้องมีก้อนหินปูนที่ตกผลึกวางอยู่ตามพื้นทรายชาวบ้านเรียกกันว่า “ไข่ไดโนเสาร์” และยังได้พบม่านกลีบหินปูนที่ปรากฏอยู่ตามพื้นซึ่งมีลักษณะเป็น Rim Stone คล้ายขอบอ่างชั้นหินปูนมีลักษณะที่สวยงามทีเดียวแต่น่าเสียดายว่าในพื้นที่ถ้ำระเบียงทรายมีหินงอกหินย้อยในลักษณะเป็นหินตายซึ่งน่าจะเกิดสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงหรือมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมกัน
 
                         เรากลับมาที่เรืออีกครั้งเป้าหมายที่ปากถ้ำบ้านหนองปิงอยู่ไม่ไกลนัก จนเรามาถึงรอยของความมืดระหว่างความมืดในถ้ำกับความมืดในยามราตรีกาลภายนอกถ้ำ รวมเวลาของการสำรวจภายในถ้ำเซบั้งไฟประมาณ 9 ชั่วโมงกับระยะทางภายในถ้ำประมาณ 9.6 กิโลเมตร
 
                         ตรงบริเวณปากถ้ำกว้างใหญ่เราได้เห็นเรือไม้ของชาวบ้านที่ใช้สำหรับพานักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวภายในถ้ำศักยภาพการท่องเที่ยวแบบชาวบ้านนี้ก็น่าจะถึงแค่แก่งแรกเพราะไม่สามารถยกเรือข้ามโขดหินไปได้หรือนิยมไปเที่ยวแค่ถ้ำระเบียงทราย
 
                         บทสรุปของการสำรวจถ้ำเซบั้งไฟในครั้งนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งความพร้อม การวางแผนที่ต้องรัดกุม และสำคัญคือให้โอกาสชาวบ้านได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อการพัฒนาของชุมชนให้อยู่คู่กับการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน และคงสภาพธรรมชาติความงดงามของถ้ำเซบั้งไฟไว้ต่อไป
 
 
---------------------------
 
                         การเดินทางสู่ดินแดนถ้ำเซบั้งไฟ : เริ่มต้นจากเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน โดยใช้เส้นทางหมายเลข 12 ไปยังเมืองจุดสุมหลงคัง เป็นทางลาดยาง ระยะทาง 103 กม. ต่อด้วยทางลูกรังอีก 37 กม.ไปยังเมืองบัวละพา และเดินทางต่อไปอีกประมาณ 14 กม. ก็ถึงบ้านหนองปิง สภาพถนนเป็นถนนดิน ถ้าช่วงหน้าฝนจะเป็นเส้นทางที่ยากลำบาก เป็นหลุม เป็นบ่อโคลน 
 
                         หรือเลือกใช้เส้นทางท่าแขกไปยังบ้านมหาไช ไปบ้านป่าหนาม แล้วไปยังเมืองบัวละพา แม้ว่าระยะทางจะใกล้กว่าเล็กน้อย แต่เป็นเส้นทางลูกรัง 
ที่พักบ้านหนองปิง : จะมีที่พักแบบโฮมสเตย์ในหมู่บ้าน ค่าที่พัก 50,000 กีบต่อคืน ต่อคน รวมอาหาร  2 มื้อ และที่พักของเมือง อยู่ใกล้กับโรงเรียนในหมู่บ้าน ค่าที่พักประมาณ 300,000 กีบต่อหลังต่อคืน ในหมู่บ้านไม่มีร้านอาหารใดๆ ควรเตรียมเสบียงและน้ำดื่มไปให้พอเพียง
 
                         ฤดูกาลเที่ยว : ตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายน 
 
                         เที่ยวถ้ำติดต่อ : บริษัท Greendiscovery ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.greendiscoverylaos.com
 
 
---------------------------
 
(ชวนเที่ยว : ถ้ำเซบั้งไฟ ความอลังการแห่งการค้นหา : เรื่อง / ภาพ ... ภูฟ้า-ภูตะวัน)