
ผ้าลาย 'นาค' สื่อวิถีชีวิต
12 มิ.ย. 2557
ศิลปวัฒนธรรม : ผ้าลาย 'นาค' สื่อวิถีชีวิต
ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งกับนิทรรศการผ้าเมื่อปีที่ผ่านมา ปีนี้ศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศ ต่อยอดด้วยนิทรรศการผ้าลาย "นาค" แนวคิดที่ต้องการเผยแพร่องค์ความรู้ในเชิงวัฒนธรรม ซึ่งในเรื่องของผ้าก็เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมร่วมชนชาติ ที่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คนที่มีการสืบทอดกันมาแต่โบราณกาล ลวดลายที่ปรากฏบนผืนผ้าทอในอดีต นอกจากจะเป็นการถ่ายทอดภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่นสืบต่อกันมาแล้ว ยังบ่งบอกถึงความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับศาสนา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประเพณี วัฒนธรรม ตลอดจนวิถีชีวิตของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ได้เป็นอย่างดี
อ.เผ่าทอง ทองเจือ ผู้เชี่ยวชาญด้ายผ้าทอโบราณ เล่าว่า ผ้าลายนาคเป็นผ้าที่อยู่คู่วัฒนธรรมของคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานมาก ไล่มาตั้งแต่อินเดีย ลังกา พม่า ไทย ลาว เขมร เวียดนาม ลงไปจนถึงมาเลเซีย อินโดนีเซีย คนในสมัยโบราณกว่า 3,000 ปี นับถือว่างูเป็นสัตว์สำคัญ เวลาเลื้อยไปไหนจะเงียบ เลื้อยเลี้ยวลดคดเคี้ยวไปได้ทุกทาง หากถูกกัดก็จะถึงแก่ชีวิต คนจึงเกรงกลัวกันมากถึงขั้นยกขึ้นเป็นเทพเจ้า จากนั้นมางูก็ถูกยกย่องให้มีส่วนร่วมในทุกศาสนาที่เกิดขึ้นในเอเชีย โดยถูกนำมาตีความตามจินตนาการและทัศนคติความเชื่อ แตกต่างกันไปให้เป็นพญานาคบ้าง มังกร หรือมกรบ้าง และด้วยความเชื่อเหล่านี้จึงถูกถ่ายทอดเป็นลวดลายผ้าที่ต่างวัฒนธรรมกันไป ไม่ว่าจะเป็นลายนาคที่มีความชัดเจนในตัวเอง หรือในเชิงสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และเป็นบันไดนำไปสู่ความดินแดนแห่งจักรวาล
ในประเทศไทยการใช้สัญลักษณ์นาคมาเป็นลวดลายบนผืนผ้ามีในทุกภูมิภาค แต่อาจจะมีลักษณะแตกต่างกันไป และมีชื่อเรียกต่างกันไปตามความเชื่อหรือจินตนาการของผู้ทอ เช่น ลายนาคเกี้ยว คือนาค 2 ตัวพันกัน เป็นลัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์, ลายนาคฮ้อง หรือ นาคร้อง ประกอบด้วยนาค 2 ตัวอยู่ด้วยกัน บางครั้งเห็นแต่ส่วนบนของนาคอ้าปากกว้างพ่นเปลวไฟ มีความหมายถึงความเบิกบาน สนุกสนาน ร่าเริง ถ้าหงอนเอียงไปข้างหลัง หมายถึงการข่มขู่ และแสดงความโหดร้ายขณะที่พยายามต่อสู้กับศัตรูและผู้ไม่หวังดี, ลายนาคฝั้นหาง หรือนาคพันหาง เป็นลายนาค 2 ตัวหันหลังชนกันมีหางนาคพันเกี่ยวกันเป็นรูปคล้ายอักษร "พ" ในแนวตั้ง และหางนั้นพันเกี่ยวกันอยู่สูงกว่าตัว หน้าของนาคหันออกจากกัน นอกจากนี้ยังมีลายนาคชูสน ลายนาคปราสาท ลายขอนาค เป็นต้น
สำหรับนิทรรศการผ้าลาย "นาค" ที่จัดขึ้นครั้งนี้ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ประกอบด้วยส่วนที่ 1 เป็นนิทรรศการองค์ความรู้ กำเนิด และทัศนคติความเชื่อเกี่ยวกับนาค ส่วนที่ 2 เป็นนิทรรศการพระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระภูษาฉลองพระองค์ด้วยผ้าลายนาค และส่วนที่ 3 เป็นการจัดแสดงผ้าลายนาค จำแนกตามประเภทการใช้งาน และกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ทั้งของไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวนกว่า 250 ชิ้น โดยชิ้นที่ถือเป็นไฮไลท์ ได้แก่ ตาลปัตรปักรูปพญานาค ของเจ้าหญิงยอดหล้า อัครชายาของพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช พระเจ้าน่านองค์ที่ 8 บนตาลปัตรจารึกตัวอักษรล้านนา ปักด้วยดิ้นเงินและเส้นไหมดิบ ความว่า "เจ้าหญิงยอดหล้าในพระเจ้าน่าน ถวายทาน พ.ศ.2457" ด้านข้างปักเป็นรูปพญานาคด้วยดิ้นเงิน 2 ตัว หันหน้าเข้าหากันและทอดโค้งขึ้นไปทั้ง 2 ด้าน สันนิษฐานว่า เจ้าหญิงยอดหล้าน่าจะประสูติในปีนักษัตรมะโรง หรือ งูใหญ่ จึงได้สร้างตาลปัตรเล่มนี้ ถวายไว้ที่วัดท่าล้อ จ.น่าน
ชิ้นถัดมาเป็น ชุดผ้าไหมลายนาค ของคุณแม่ไพบูลย์บุญ ทองเจือ (เนติกุล) มารดาของ อ.เผ่าทอง ตัดเย็บด้วยผ้าไหมสีแดงเข้ม ยกดอกไหมสีขาวฝั้นกับดิ้นเงินส่วนตัวซิ่นทอยกดอกเป็นลายพญานาคขนดตัวทำเป็นดอกลอยกระจายห่างๆ เต็มตัวซิ่น ส่วนตีนซิ่นทอเป็นลายกรวยเชิงปลายแหลม แต่ที่พิเศษคือการนำลายนาคขนดนั้นมาผูกลายหันหน้าเข้า-ออกสลับชิดกันเป็นใจท้องลายในกลางส่วนตีนซิ่น ความนิยมอย่างหนึ่งในเวลานั้นก็มีการนำผ้ายกไหมมาตัดเย็บเป็นแบบสำเร็จรูป ทำให้มีทรวดทรงพอดีตัวผู้สวมใส่
นอกจากนี้ยังมี ชุดเสื้อทรง องค์ชายแห่งราชวงศ์จีน ปักลวดลายมังกร 4 เล็บ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นฉลองพระองค์สำหรับพระราชวงศ์ในตำแหน่ง "อ๋อง" หรืออาจเป็นฉลองพระองค์ฤดูร้อนสำหรับพระราชวงศ์ฝ่ายชาย ซึ่งสังเกตได้จากลวดลายที่เป็นปีกลายมังกร 4 เล็บ มีความหมายถึงพระราชอำนาจและฐานันดรศักดิ์ ลวดลายมังกรบนฉลองพระองค์นี้หากมองจากตรงกลางและที่แขนเสื้อจะเห็นมังกรตัวใหญ่กำลังผงาดคาบลูกแก้วหรือเรียกว่า "มังกรล่อแก้ว" และมีมังกรกำลังเลื้อยขึ้นไปในท้องฟ้ากำลังจะคาบเอาลูกแก้วขนาบอยู่ข้างละตัวเรียกลาย "มังกรดั้นเมฆ" ลายมังกรสำหรับฉลองพระองค์มีทั้งสิ้น 8 ตัวหากพระราชวงศ์ผู้ได้ทรงเสื้อคลุมมังกรนี้แล้วจะถือว่าเปรียบดังมังกรตัวที่ 9 แสดงถึงแสนยานุภาพเท่าเทียมกับมังกร
ทั้งนี้นิทรรศการผ้าลาย "นาค" เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมฟรีทุกวัน ตั้งแต่วันนี้ - 1 กันยายน ที่ศูนย์ศิลปาชีพระหว่าประเทศ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ระหว่างเวลา 8.30-16.30 น.