ไลฟ์สไตล์

'มายซะห์'แนะรัฐหนุนสู่การศึกษาแพทย์ ณ กรุงไคโร

'มายซะห์'แนะรัฐหนุนสู่การศึกษาแพทย์ ณ กรุงไคโร

08 พ.ค. 2557

'มายซะห์'แนะรัฐหนุนสู่การศึกษาแพทย์ ณ กรุงไคโร : คอลัมน์ เปิดโลกมุสลิม

 
 
          ปัจจุบันการศึกษาของนักศึกษามุสลิมไทย ที่เดินทางมายังประเทศอียิปต์ มีการศึกษาที่หลากหลายขึ้นไม่เฉพาะแต่ในรั้วมหาวิทยาลัยศาสนาอย่างมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรอย่างเดียว แต่ยังมีนักศึกษาที่เดินทางมาศึกษาสายสามัญอย่างที่เคยลงไปแล้วเรื่องการเป็นนางฟ้าของน้องมูนา วันนี้เปิดโลกการศึกษามุสลิมขอนำเสนอนักศึกษามุสลิมะห์ไทยอีกคน ที่เดินทางมาศึกษาแพทย์ในประเทศอียิปต์ ซึ่งน้อยนักที่จะศึกษาในด้านนี้หรือแทบจะไม่มี  
 
          น.ส.มายซะห์ กือมอ เป็นคน จ.ปัตตานี เป็นบุตรสาวของนายอับดุลราหมานกับ นางฮาสน๊ะ กือมอ แม่มีอาชีพค้าขาย พ่อเป็นคณะกรรมการกลางจังหวัดปัตตานี น้อง “ซะห์” มาจากครอบครัวบ้านๆ ชนบทที่ไม่ได้ร่ำรวยนัก “น้องซะ” เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนบ้านโตะบาลา อ.สายบุรี จ.ปัตตานี สู่มัธยมต้นที่โรงเรียนดรุณศาสน์วิทยา อ.สายบุรี จ.ปัตาตานี  และไปศึกษาต่อมัธยมปลายที่ประเทศมาเลเซีย ที่โรงเรียน Maahad Pengajian Islam, โกตาบารู รัฐกลันตัน ผลคะแนนสอบในการสอบเทียบเพื่อเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัยของนักศึกษามาเลเซียอยู่ในเกรดที่ดีมาก  (Malaysian Certificate of Education เทียบเท่า O-Level) 
 
          แต่น้องมาซะห์ ไม่สามารถเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัยในประเทศมาเลเซียได้ เนื่องจากกฎของการสอบเทียบนั้นสงวนเฉพาะเด็กสัญชาติมาเลเซียเท่านั้น แต่เธอเป็นคนไทย ทำให้เธอพลาดโอกาสไป แต่อาจารย์ที่โรงเรียนเห็นว่าเกรดที่น้องมาซะห์ได้นั้นผ่านเกณฑ์การรับสมัครของคณะแพทยศาสตร์ในประเทศอียิปต์ จึงแนะนำให้ไปสมัครที่สำนักงานการศึกษาอิสลามแห่งรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นตัวแทนส่งนักเรียนไปศึกษาต่อที่ประเทศอียิปต์ หลังจากนั้นก็ได้สมัครและได้เลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร
 
          “น้องซะห์” ก็ได้เข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรในโปรแกรมเอ็มโอยูของประเทศมาเลเซีย เมื่อเรียนได้หนึ่งเทอมทางคณะได้แจ้งมาว่าการลงทะเบียนเรียนมีปัญหา ทางมหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้เข้าเรียนในคณะแพทยศาสตร์ เนื่องจากประเทศไทยไม่มีการเทียบเท่าวุฒิการศึกษา กับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร หลังจากนั้น “น้องซะห์” ได้เข้าเจรจาต่อรองกับอธิการบดีคณะแพทย์เพื่อขออนุญาตเรียนที่นี้ต่อ  และอธิการบดีได้เสนอให้ขอความช่วยเหลือจากเอกอัครราชทูตมาเลเซียและไทย หลังจากนั้นเอกอัครราชทูตทั้งไทยและมาเลเซีย ได้ให้การสนับสนุนร้องเรียนและดำเนินการต่างๆ จนไดรับอนุญาตเข้าเรียนเป็นกรณีพิเศษ  

          น้องซะห์ เล่าว่า ค่าเทอมปีที่หนึ่ง 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ปีที่สอง 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าหนังสือเรียน 300 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าอุปกรณ์ 200 ดอลลาร์สหรัฐ ตัวเองไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรมากมาย แต่เพราะมีโอกาสที่จะเรียนแล้วแม้จะต้องเหนื่อยกับหลายๆ อย่างในประเทศแห่งนี้ ก็ต้องอดทนและก็ทนอดไปพร้อมๆ กันเพราะต้องใช้ทุนของตัวเองหยิบยืมพี่ๆ น้องๆ เอาบ้างยามที่ไม่ทันแต่โชคดีที่มีกำลังใจดีจากพ่อแม่และพี่น้อง “น้องซะห์” ยังเล่าต่ออีกว่า การเรียนที่นี้ เนื้อหาที่ต้องเรียนมีมากแต่เวลาเรียนมีจำกัด การสื่อสารกับคนไข้เป็นอุปสรรคสำหรับนักศึกษาชั้นคลินิกเพราะต้องใช้ภาษาอาหรับท้องถิ่นในการสื่อสาร ภาษาที่ใช้ในการเรียนเป็นภาษาอังกฤษต้องใช้เวลาในทำความเข้าใจและจดจำ ค่าใช้จ่ายก็สูงมาก
 
          น้องซะห์ ทิ้งท้ายถึงรัฐบาลไทยและผู้เกี่ยวข้องว่า อยากให้รัฐบาลทำข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยในประเทศอียิปต์เพื่อรับนักศึกษาไทยเข้าศึกษาในคณะแพทยศาสตร์และคณะอื่นๆ เช่น คณะทันตแพทยศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ โดยเฉพาะสิ่งที่สำคัญที่สุดอยากให้รัฐให้การสนับสนุนเรื่องทุนการศึกษาในด้านนี้ เนื่องจากเป็นผลดีต่อตัวนักศึกษาและสังคมไทยทั้งในต่างประเทศและในประเทศของเราเอง อยากมาทุนของไทยแบบเต็มตัวที่ไม่ใช่ของประเทศอื่น แต่เพราะไม่มีโอกาสที่ดีกว่านี้อีกแล้วจึงต้องจับไว้ก่อน สำหรับน้องๆ ที่ต้องการมาศึกษายังประเทศแห่งนี้คณะแพทยศาสตร์ ต้องตั้งใจเรียนในทุกๆ วิชาเพื่อเตรียมความพร้อมความรู้พื้นฐานให้มั่นคงเพราะการเรียนแพทย์ต้องใช้ความพยายามสูง เตรียมพื้นฐานภาษาอังกฤษให้พร้อม
 
          การศึกษาในประเทศอียิปต์ไม่ใช่เปิดกว้างเฉพาะด้านศาสนาเท่านั้น หากแต่ทุกด้านเพียงแต่ประเทศไทยเรายังไม่กว้างพอที่จะเดินเข้ามาหาและทำการปูทางเพื่อสิ่งดีๆ เหล่านี้ให้แก่พี่น้องชาวไทยมุสลิมเท่านั้นเอง น้องมาซะห์ เดินทางมาด้วยวุฒิของประเทศเพื่อนบ้าน จึงสามารถสมัครเรียนได้แต่ไม่ใช่ง่าย ทำไมเราไม่คิดจะเปิดโอกาสเหล่านี้ สร้างสะพานเหล่านี้ให้แก่นักศึกษามุสลิม รับรองคำถามที่ทุกคนสงสัยจะหมดไปว่า “ทำไมมาศึกษาอียิปต์เฉพาะศาสนาเท่านั้น” 
 
.......................................
(หมายเหตุ 'มายซะห์'แนะรัฐสนับสนุนสู่การศึกษาแพทย์ ณ กรุงไคโร : คอลัมน์ เปิดโลกมุสลิม)