ไลฟ์สไตล์

ศิลป์แห่งแผ่นดิน : เพลงบ้านโพ

ศิลป์แห่งแผ่นดิน : เพลงบ้านโพ

23 มี.ค. 2557

ศิลป์แห่งแผ่นดิน : เพลงบ้านโพ : โดย...ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

 
                         คุณพ่อ คุณแม่ของ "พี่กอไผ่ น้องใบเตย" ครอบครัวนักกิจกรรมที่อำลาเมืองหลวง มาฝังรากอยู่ อ.บ้านไร่ อุทัยธานี เมื่อ 3-4 ปีก่อน ได้ประสานงาน เชิญผมให้ไปร่วมกิจกรรม “ลานวัฒนธรรมพื้นบ้าน” กิจกรรมที่งดงาม เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมงานผ้าฝ้าย ครั้งที่ 1 ที่จัดขึ้นโดยวิทยาลัยชุมชนอุทัยธานีเป็นแม่งาน ผมได้คุยกับท่านอธิการฯ ได้ทราบถึงจุดประสงค์การจัดงาน ฟังแนวคิด ฟังหัวใจท่าน ก็นับว่าท่านชื่นชม ส่วนเรื่องขับเคลื่อนกิจกรรมนั้น ผู้ปฏิบัติตรงก็ดำเนินการไป ยิ่งได้เจอชาวบ้านอันเป็นฐานล่างสุด ผมก็ยิ่งปลื้มใจ เพราะนี่คือชีวิตชีวาของจริงแท้แน่นอน
 
                         คุณสุรพงศ์  ทิพย์ศิริ ได้เกริ่นให้ฟังก่อนเข้าสู่การแสดงเพลงพื้นบ้านท่าโพ ณ ลานวัฒนธรรม
 
                         บ้านท่าโพ อำเภอหนองขาหย่าง แต่เดิมน่าจะเป็นจุดพักค้างแรมคาราวานค้าขาย ตลอดจนกองทัพยามจับศึก การร้องรำทำเพลงอันสุนทรีย์บังเกิดขึ้น และสืบทอดมาจนปัจจุบัน ปรากฏอยู่ให้ฟื้นฟูขึ้น ได้แก่ เพลงพิษฐาน เพลงชักเย่อ เพลงโลม เพลงกรุ่น เพลงบวชนาค เป็นต้น
 
                         จนช่วงปี พ.ศ.2522 ซึ่งทางการได้รณรงค์ศิลปวัฒนธรรมไทย อ.สำเริง  รงค์ทอง อดีตครูใหญ่โรงเรียนวัดโพธิพันสี ต.ท่าโพ ได้ฟื้นฟูเพลงพื้นบ้านท่าโพขึ้น และในงานแสดงแห่งค่ำคืนวันงดงามของผมก็ได้พบ พ่อบุญช่วย และพ่อปราโมทย์ สองพี่น้อง อายุ 88 และ 79 ปี เป็นพ่อเพลงอาวุโส นำลูกเพลงหลานเพลงออกมาแสดงการละเล่นเพลงพื้นบ้านให้ชม เป็นที่สนุกสนาน ครื้นเครง ได้อรรถรสย้อนยุคสมัย ณ กาลเวลาปัจจุบัน
 
                         นามบ้านท่าโพ ได้มาจาก “ต้นโพกลางบ้าน” ณ ลานโพอันเป็นที่รวมใจ คำขวัญบ้านท่าโพมีว่า “ต้นโพกลางบ้าน สืบสานประเพณี ของดีเพลงพื้นบ้าน นมัสการหลวงพ่อกุฏิ” 
 
                         หลวงพ่อกุฏิ หมายถึง ศาลเล็กๆ อันเป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าอาวาสวัดท่าโพทุกรูปที่มรณภาพแล้ว ปัจจุบันวัดท่าโพมีพระอธิการ ศุภชัย สุนทรธัมโม เป็นเจ้าอาวาส เป็นที่เคารพศรัทธา ด้วยวัตรปฏิบัติ ทั้งยังเป็นผู้สนับสนุนการอนุรักษ์เพลงพื้นบ้านคนสำคัญอีกด้วย เพลงท่าโพ มีกลองรำมะนา เป็นจังหวะจะโคน ชาวบ้านหญิงชายหลายวัย ร่ายรำไปตามจังหวะ ทำนอง และเนื้อร้องของเพลงนั้นๆ เพลงพิษฐาน ใช้เล่นในเทศกาลสงกรานต์ เพลงชักเย่อ เล่นได้ทุกเทศกาล
 
                         “มาชักเย่อกันเอย เสมอที่ต้นข่อย มาเจอสาวน้อยน้อย เอ๋ยมามาชวนกัน อย่ามัวหน่วงหนัก หน่วงหนักชักช้า ขอเชิญแม่มาเถิดเอย....มาชักเย่อกันเอย”
 
                         เพลงโลม เป็นเพลงพื้นบ้านประเภท “ปฏิพากย์” คือการร้องตอบโต้ เกี้ยวพาราสีกันระหว่างชายหญิง แบบถึงพริกถึงขิง ถึงอกถึงใจ
 
                         “(ชาย) โลมแม่โลม เปรียบเหมือนเอย...นางช้างเข้ามาโลมต้นมะม่วง
 
                         (ลูกคู่) เปรียบเหมือนเอย...นางช้างเข้ามาโลมต้นมะม่วง
 
                         (หญิง) น้องพูดกับพี่ไว้ว่าอย่างไร พี่อยากตายเมื่อถูกคนสวยหลอกลวง
 
                         (ลูกคู่) เอ๋ย โอละหัดชัดช้า ขยับออกไปไกลลงมา สองมือพลันคว้าลมเอย…
 
                         โลมงัวโลมงา สุดปัญญาของพี่แล้วหนา สองมือพี่คว้าลมเอย
 
                         (หญิง) โลมเข้าโลม เปรียบเหมือนช้างเข้ามาโลมดอกสัก
 
                         (ลูกคู่) เปรียบเอย ช้างเข้ามาโลมดอกสัก
 
                         (หญิง) โลมน้องอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะน้องมีคนรัก
 
                         (ลูกคู่) เอ๋ย โอละหัดชัดช้า ขยับออกไปไถลลงมา สองมือพลันคว้าลมเอย…
 
                         เนื้อร้อง เริ่มจากโลมต้นกุ่ม มาโลมต้นสัก โลมต้นประดู่ แล้วก็โลมต้นอื่นๆไป ตามแต่จะด้นกันไป มีเล่นกันเจ็บๆ “โลมงัว โลมงา เอาปลาสลิดไปติดเอาหน้า ผู้ชายเป็นบ้าโลมเอย” ฝ่ายหญิงเขาว่าให้
 
                         เพลงกรุ่น ก็เช่นกัน เป็นเพลงร้องตอบโต้ ระหว่างชาย หญิง ถึงพริกถึงขิงของแท้ มีกระเซ้าเย้าแหย่ถึงขั้นว่า “กรุ่นฉันเอย สาลีกระไรกระท่อมกรุ่น (ลูกคู่รับ) ถึงแต่งตัวโก้ ก็เรื่องของฉัน มันหนักกะบาลหรือพ่อคุณ” ฝ่ายผู้ชายก็เลยหน้าม้านไป
 
                         นอกจากนั้นยังมี เพลงฮิลเลเล เพลงระบำ เพลงเกี่ยวข้าว เช่นเดียวกับเพลงพื้นบ้านภาคกลางทั่วไป
 
                         ได้มาฟังเพลงพื้นบ้านท่าโพ ชุมชนโบราณที่มีตำนานเล่าขานว่า แต่เดิมเป็นป่าดงดิบ มีสัตว์ป่าชุกชุม มีหนองน้ำใสใหญ่กว้าง เป็นที่อยู่อาศัยของวัวแดง จึงได้ชื่อ “หนองวัวแดง” ปัจจุบันคือ “หนองประแดง” ต่อมาเรียก “ท่าโค” ภายหลังเปลี่ยนเป็น “ท่าโพ” สอดคล้องกับการมีต้นโพธิ์ใหญ่กลางบ้าน ถิ่นนี้เป็นทางผ่าน สำหรับคาราวานค้าขาย ระหว่างอยุธยา-เชียงใหม่ เรียกกันติดปากว่า บ้านโพธิ์พันศรี หรือโพพันสี
 
                         บ้านท่าโพนี้ สันนิษฐานว่า มีมาแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย มีชื่ออยู่ในเสภาขุนช้าง ขุนแผน ฉบับคุรุสภา พ.ศ. 2505 หน้า 178 บรรทัดที่ 19 ความว่า
 
                         “พลายแก้วขี่คชสาร สูงตระหง่านเงื้อมเงื้อมอยู่ในป่า
 
                         วันหนึ่งก็พอถึงทุ่งโสภา อนิจจาพิมพี่ผู้งามงอน
 
 
                         บ้านกระทงตรงข้ามไปท่าโพธิ์ โอ้ว่าโพธิ์สามต้นยังอ่อนอ่อน
 
                         ค่ำลงปลงทัพให้หลับนอน รุ่งยกพลผ่อนข้ามน้ำไป
 
                         ลัดล่วงนครสวรรค์ดั้นด้น .........................................”
 
                         บ้านทุ่งโสภาอยู่ในเขตอำเภอวัดสิงห์ และเขตอำเภอหันคา ของจังหวัดชัยนาท ซ่งติดเขตอำเภอหนองขาหย่าง ของจังหวัดอุทัย ดังนั้น บ้านท่าโพนี้กับบ้านท่าโพธิ์ในเสภาน่าจะเป็นบ้านเดียวกัน ดังนี้แล
 
                         ขอบคุณทางผู้จัดงาน ขอบคุณลานวัฒนธรรม ขอบคุณครอบครัวพ่กอไผ่ น้องใบเตย ขอบคุณคุณสุรพงศ์  ทิพย์ศิริ ขอบคุณพ่อบุญช่วย พ่อปราโมทย์ ขอบคุณลุง ป้า น้า อา พี่น้องชาวท่าโพทุกท่านครับ
 
 
 
-------------------------
 
(ศิลป์แห่งแผ่นดิน : เพลงบ้านโพ : โดย...ศักดิ์สิริ มีสมสืบ)