
โลกใบนี้...ดนตรีไทย - การจะไป...ใครจะมา
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา วงการดนตรีไทยก็ต้องสูญเสียนักขับเสภาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศไทย การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ ครูแจ้ง คล้ายสีทอง ทำให้วงการดนตรีไทยสูญเสีย ศิลปินแห่งชาติ สาขาคีตศิลป์ ไปอีกหนึ่งคน
จะว่าจริงๆ แล้วนักขับเสภาบ้านเราเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน โดยส่วนตัวของผมมีความสนิทสนมกับครูแจ้งพอสมควร เพราะเนื่องจากครูแจ้งเป็นเพื่อนกับบิดาของผมเอง แต่มาในระยะหลังที่คุณพ่อของผมเสียชีวิตไปเมื่อ พ.ศ.2536 ครูแจ้งกับตัวผมก็เลยมิได้พบกันเท่าไหร่ โดยครั้งสุดท้ายที่ผมได้พบกับครูแจ้งประมาณกลางปี 2550 ที่โรงละครสุพรรณบุรี ครั้งนั้นก็เท่ากับว่าผมได้ฟังครูแจ้ง ขับสภาแบบสดๆ เป็นครั้งสุดท้ายนั่นเอง และก็ต้องยอมรับว่าคงจะหาใครมาทดแทนได้ยากยิ่ง เนื่องจากครูแจ้งมีจุดเด่นอยู่ที่น้ำเสียงของตัวท่านเอง ซึ่งบอกได้เลยว่า เพียงแค่ได้ยินไม่ต้องเห็นหน้าก็รู้แล้วว่าเป็นใคร และถ้าเราได้ยินเสียงการขับเสภาที่เป็นเสียงของคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ครูแจ้ง มันก็อาจจะมีความรู้สึกที่แปลกๆ และอาจจะต้องส่ายหน้า แล้วพูดว่า “มันไม่ช่ายยย....”
ทั้งนี้เป็นเพราะว่าครูแจ้ง ขับเสภาออกสื่อต่างๆ ตามวิทยุ หรือทีวีอยู่คนเดียว แม้กระทั่งเสียงรอสายโทรศัพท์ ก็ยังมีให้โหลดกัน จึงเท่ากับว่าเอกลักษณ์ของการขับเสภา ก็คือครูแจ้ง คล้ายสีทอง
และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผมกล่าวเอาไว้ในข้างต้นว่า คงหาใครมาทดแทนได้ยากยิ่ง แต่ถ้าให้ผมเลือกใครสักคนหนึ่งที่จะมาแทนครูแจ้ง ผมตอบได้ทันทีว่าต้อง ครูนฤพนธ์ ดุริยะพันธุ์ เนื่องจากครูนฤพนธ์ ท่านนี้ก็มีน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเหมือนกัน เพียงแต่ว่าน้ำเสียงของท่านยังไม่ค่อยได้ออกสื่อต่างๆ หรือพูดง่ายๆ ว่ามันยังไม่ติดตลาดเหมือนครูแจ้งนั่นเอง
เอาไว้ต่อไปถ้าครูนฤพนธ์ ได้ขับเสภาออกสื่อต่างๆ มากขึ้น มันก็อาจจะทำให้พวกเราคุ้นหูกันไปเอง เพราะจะว่ากันจริงๆ แล้ว ฝีมือการขยับกรับเสภาของครูทั้งสองท่านนี้ ก็มิได้แตกต่างกันเท่าไหร่ และถ้าจะให้ผมบอกแบบตรงไปตรงมาเลยนะครับว่า นอกจากสองท่านที่ผมได้กล่าวมา ก็ยังมีอีกท่านหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นเจ้าแห่งการขยับกรับเสภาตัวจริง ก็คือ ครูศิริ วิชเวช ศิลปินแห่งชาติปีล่าสุด ซึ่งท่านนี้ไม่ใช่แต่ตัวผมเท่านั้นที่ยอมซูฮก แม้แต่คุณพ่อของผมก็ยังยอมเป็นศิษย์ของครูศิริ วิชเวช เพราะว่ากันว่าเวลาท่านขยับกรับเสภา มีเสียงยาวและไพเราะมากที่สุด
การจากไปของครูแจ้ง คล้ายสีทอง ก็จะมีเพียง ครูนฤพนธ์ ดุริยะพันธุ์ กับครูศิริ วิชเวช เท่านั้นที่จะพอมาทดแทนครูแจ้ง ได้ เพราะเด็กรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ผมเชื่อว่ายังหาใครมาเทียบชั้นกับครูสองท่าน ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะว่าการขับเสภาก็ต้องถือว่าเป็นศาสตร์ชนิดหนึ่งที่ต้องอาศัยการสะสมประสบการณ์ รวมถึงการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องนับหลายสิบปี ถึงจะเข้าขั้นเซียน หรือเทพ ซึ่งมันไม่เหมือนการเล่นกีฬามวย หรือฟุตบอล ที่คนหนุ่มมักจะได้เปรียบคนแก่อยู่เสมอไป
และถึงแม้ว่าครูนฤพนธ์ ดุริยะพันธุ์ และครูศิริ วิชเวช จะมีฝีมือการขับเสภาอยู่ในขั้นเทพ ก็ใช่ว่าจะมาแทนครูแจ้งได้อย่างสนิทสนมกลมกลืน เพราะว่าน้ำเสียง และลีลาในการขับเสภามันก็ยังต่างกันไปคนละแบบ ซึ่งผมจะเปรียบเทียบให้ท่านผู้อ่านเข้าใจกันแบบง่ายๆ คือ ครูแจ้ง เปรียบเป็นเหมือนกับ น้าแอ๊ด คาราบาว ซึ่งทั้งคู่มีเสียงเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ครูนฤพนธ์ ก็จะเปรียบได้เท่ากับ ปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ เนื่องจากมีอาวุโสน้อยกว่า และก็มีเสียงเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเหมือนกัน ส่วน ครูศิริ วิชเวช ก็เท่ากับว่าเป็น น้าหงา คาราวาน คือมีอาวุโสมากกว่า หรือเก่ากว่า และที่สำคัญจะดูเหมือนกับมีมนต์ขลังของตัวเอง
ผมคิดว่าท่านผู้อ่านที่ไม่ได้อยู่ในวงการดนตรีไทย ก็คงจะเข้าใจ และพอจะมองเห็นภาพ จากการที่ผมได้เปรียบเทียบนักขับเสภา กับนักร้องเพลงเพื่อชีวิต จะว่าไปแล้วก็ต้องชมตัวเองที่เขียนเปรียบเทียบได้ดี อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้ได้รับอิทธิพลจากการอ่านข่าวกีฬาฟุตบอลมากไปหน่อย เนื่องจากการย้ายทีมของ คริสเตียโน โรนัลโด้ จากแมนฯ ยูฯ จะไป เรอัล มาดริด ก็จะมีการเขียนของหนังสือพิมพ์หลายฉบับว่าใครจะเป็นผู้มาแทนลูกโด้ และหลายสำนักก็ช่างเขียนเปรียบเทียบได้ดีเหลือเกิน มันจึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนเปรียบเทียบได้เป็นอย่างดีในฉบับนี้ ก็ต้องขอขอบคุณ คริสเตียโน โรนัลโด้ เอาไว้ ณ ที่นี้เป็นอย่างสูงด้วยนะครับ
ท้ายนี้ผมขอให้วิญญาณของ ครูแจ้ง คล้ายสีทอง จงสู่สุขคติภพ และคิดว่าเสียงร้องและเสียงกรับเสภาของครู คงจะอยู่ในความทรงจำของพวกเราชาวดนตรีไทยตลอดไปอีกชั่วกาลนานเทอญ
ป.ล. วันเสาร์นี้ แฟนคอลัมน์ของผม อย่าลืมไปชมผมตีระนาด ประชันกับ น้าแอ๊ด คาราบาว ในคอนเสิร์ต เพลง คน ดนตรี โลก นะครับ
"ขุนอิน"