'ต้นน้ำแม่สะมาด'การจัดการที่ลงตัว
ถิ่นไทยงาม : ต้นน้ำแม่สะมาด การจัดการที่ลงตัว
"เก็บน้ำไว้ในดิน และเก็บดินไว้ให้อยู่กับที่"
"ลดน้ำฤดูฝน เพิ่มน้ำฤดูร้อน"
ปรัชญาของการจัดการลุ่มน้ำ ที่ติดบอร์ดไว้ตัวโต เป็นสิ่งเตือนตน เตือนใจในภารกิจของคนที่อยู่ "หน่วยจัดการต้นน้ำ" ซึ่งทั่วประเทศมีพื้นที่ลุ่มน้ำถึง 25 แห่ง แต่ละแห่งก็ยังมีลุ่มน้ำสาขาย่อยออกไปอีก
ชื่อเสียงเรียงนามของ หน่วยอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำแม่สะมาด อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่ถ้าบอกว่า อยู่บนดอยแม่อูคอ ที่มีทุ่งดอกบัวตองบนเนินเขาเป็นลูกๆ อยู่เส้นทางเดียวกับที่ไปอุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ และโครงการอนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เชื่อว่าหลายคนก็ต้องร้องอ๋อ กันยืดยาว แม้จะไม่เคยไป
หน่วยอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำแม่สะมาด มี หัวหน้าทศพร จางสาย เป็นคนดูแลทั้งหน่วยใหญ่ และหน่วยย่อยที่บ้านห้วยหวาย รวมถึงดูแลโครงการอนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารีในพระราชดำริ ซึ่งการทำงานของหน่วยต้นน้ำฯ แม่สะมาด นอกจากจะดูแลอนุรักษ์ พัฒนาต้นน้ำแล้ว ยังต้องดูแลผืนป่าต้นกำเนิดของลำน้ำอีกด้วย ซึ่งบริเวณนั้นเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแม่สุรินทร์ด้วย
"เมื่อก่อนแถวนี้เป็นภูเขาหัวโล้น เราก็เข้ามาจัดการปลูกป่า เริ่มทำกันมาตั้งแต่เมื่อราว 30 ปีก่อน จนวันนี้มองไปก็เห็นผืนป่า ต้นไม้ใหญ่ ไม่ใช่เป็นภูเขาหัวโล้นอีก" หัวหน้าทศพรบอก แล้วยังเล่าใฟ้ฟังด้วยว่า เมื่อตอนเข้ามาใหม่ๆ ก็ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก สิ่งสำคัญก็คือ เราต้องทำให้เห็นเป็นตัวอย่างด้วย พอเขาเห็นว่ามันได้ผล มันดีกับพวกเขาด้วย ความร่วมมือก็ตามมา
วันนี้ป่าใหญ่หลังบ้าน รวมถึงยอดดอยแม่สุรินทร์ ที่เป็นต้นน้ำของน้ำตกแม่สุรินทร์ และบางส่วนที่ไหลลงสู่สาละวินแล้ว ยังเป็นต้นกำเนิดของลุ่มน้ำแม่สะมาด ซึ่งถูกจัดเป็น 1 ใน 17 ลุ่มน้ำสาขาของลุ่มน้ำสาละวิน
ดูจากบอร์ดนิทรรศการ ที่ติดไว้บริเวณห้องอาหารโอเพ่นแอร์ ริมผา บนที่ทำการของหน่วยต้นน้ำฯ พอเห็นภาพคร่าวๆ ของพื้นที่ดูแลจัดการ ซึ่งไม่ใช่น้อยๆ โดยลุ่มน้ำแม่สะมาดมีพื้นที่ 627 ตารางกิโลเมตร หรือ 392,197 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 1.80 ของพื้นที่ลุ่มน้ำสาละวิน ส่วนลุ่มน้ำสาละวิน มีพื้นที่ 34,658.78 ตารางกิโลเมตร หรือ 21,661,737.50 ไร่
ตัวที่ทำการหน่วยต้นน้ำฯ เอง วันนี้เปิดรับนักท่องเที่ยวให้แวะไปเยี่ยม ไปเยือน การตกแต่งสถานที่ การปลูกไม้ดอกไม้ประดับ สวยงามจริง แม้หนทางเข้าไปถึงจะยังไม่สะดวกสบาย แต่ก็ถือเป็นการจำกัดคนโดยธรรมชาติไปในตัว ไม่ถึงกับทะลักทลาย ไม่ถึงกับให้ต้องเงียบเหงาจนเกินควร ยกเว้นในช่วงฤดูฝน ที่เดินทางค่อนข้างลำบาก หากในช่วงอากาศหนาวๆ เดือนธันวาคม-มกราคม มีคนไปทุกอาทิตย์เชียวล่ะขอบอก
บ้านพักก็อาศัยอาคารอำนวยการ ที่จัดเตรียมไว้ แล้วยังมีบ้านพักอีกหลังใหญ่ ที่อยู่อีกเนินเขา มีสะพานปูนขึ้นลง เชื่อมถึงกัน สองข้างทางปลูกดอกไม้สวยงาม สนามหญ้ากว้างๆ ลานกองไฟที่ให้ไออุ่น ในยามอากาศหนาว แถมด้วยโรงครัวที่แม่ครัวฝีมือเยี่ยม จนไม่ต้องเตรียมเสบียงไปให้มากมาย
นับเป็นอีกสถานที่ที่เอาไว้พักผ่อนได้ทั้งตัวและใจเลยทีเดียว กับธรรมชาติรื่นรมย์รอบตัว แต่ถ้ายังติดแสงสีเสียง สิ่งอำนวยความสะดวกขนาดหนัก ที่นี่ก็คงไม่เหมาะสำหรับคุณจริงๆ