
'อากาศหนาว'ลางร้ายเกษตรกรผู้เลี้ยงปลา
มหันตภัยที่มากับอากาศหนาว ลางร้ายเกษตรกรผู้เลี้ยงปลา : ดลมนัส กาเจ ... รายงาน
ก่อนหน้านี้ นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล อธิบดีกรมประมง ได้ออกมาเตือนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำกันแล้วว่า ช่วงที่สภาพอากาศกำลังเปลี่ยนแปลงจากปลายฝนเข้าสู่ฤดูหนาวนั้นจะกระทบโดยตรงกับสุขภาพของสัตว์ อย่างกุ้งต้องเฝ้าระวังโรคตัวแดงดวงขาว และโรคหัวเหลืองที่จะระบาดในช่วงหน้าหนาว และจะสร้างความเสียหายให้แก่อุตสาหกรรมกุ้งอีกระลอก เช่นเดียวกับปลา ที่เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาทั้งในกระชังและบ่อดินต้องระวังเช่นกัน
เนื่องเพราะปัจจุบันเกษตรกรหันมาเลี้ยงปลาตามแม่น้ำ ลำคลอง เขื่อน และบ่อดินจำนวนมาก โดยเฉพาะปลานิล ปลาทับทิม และปลาอื่นๆ ในพื้นที่หลายจังหวัดแทบทุกภาคของประเทศไทย และในแต่ละปีเกษตรกรจะประสบปัญหาปลาตายเป็นจำนวนมาก
ในรายการ "เกษตรทำกินกับคมชัดลึก" ช่วง "ภัยเกษตรกร" ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง "คมชัดลึกทีวี" เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม 2556 เวลา 16.00-17.00 น.นายนพดล ภูวพานิช ผู้อำนวยการวิจัยแลพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง ได้สะท้อนถึงปัญหาการเลี้ยงปลาทั้งในกระชัง และในบ่อช่วงอากาศหนาวว่า เป็นช่วงที่มีผลกระทบต่อสัตว์น้ำเป็นอย่างมาก เพราะปลาจะกินอาหารน้อยลง สภาพร่างกายจึงอ่อนแอ หากให้อาหารมากเมื่อปลากินไม่หมดก็จะเกิดเป็นกรด, แก๊ส น้ำขุ่น และเกิดแบคทีเรียในน้ำ ทำให้ปลาเกิดโรคได้ง่าย
สำหรับโรคปลาที่จะเกิดขึ้นในช่วงหน้าหนาว อาทิ โรคตัวด่าง หรือคอลัมนาริส ในปลากะพงขาว ปลาดุก ปลาช่อน ปลาบู่ และปลาสวยงามอีกหลายชนิด ปลาที่เป็นโรคนี้จะมีแผลด่างขาวตามลำตัว มักเกิดกับปลาหลังจากการย้ายบ่อ การลำเลียงหรือการขนส่งเพื่อการนำไปเลี้ยง หรือในช่วงที่อุณหภูมิของอากาศมีการเปลี่ยนแปลงในรอบวันมาก ปลาที่ติดโรคนี้จะตายเป็นจำนวนมากและรวดเร็วภายใน 24-48 ชั่วโมง
อีกโรคหนึ่งที่พบกันมากคือ โรคไวรัส เคเอชวี เป็นโรคระบาดที่เกิดกับปลาคาร์พและปลาไน ปลาป่วยมีอาการซึม อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ตามลำตัวมีเมือกมาก มีแผลเลือดออกตามลำตัวและด้านท้อง บางครั้งพบแผลตื้นๆ ร่วมด้วย ในปลาที่มีการติดเชื้ออย่างรุนแรงพบอาการเหงือกเน่าและมีคราบสีขาวอมเหลืองแทรกอยู่ เนื่องจากเซลล์เหงือกตาย ปลาอ่อนแอกินอาหารน้อยลงหรือไม่กินอาหาร ว่ายน้ำเสียการทรงตัว ลอยอยู่ใกล้ผิวน้ำ และตายอย่างช้าๆ 50-100% สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีสารพันธุกรรมชนิดดีเอ็นเอ ดำรงชีวิตที่อุณหภูมิต่ำนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีโรคอียูเอส หรือโรคอิพิซูโอติก อัลเซอร์เรทีพ ซินโดรม ลักษณะอาการมีแผลลึกตามลำตัวและส่วนหัว แผลเป็นเส้นใยของเชื้อราฝังอยู่ พบได้ในปลาหลายชนิด ทั้งที่อยู่ในธรรมชาติ หรือปลาที่เลี้ยงในเขตน้ำจืดและน้ำกร่อย เช่น ปลาช่อน ปลาตะเพียน ปลาสร้อย ปลากระสูบ ปลาแรด ปลาสลิด เป็นต้น ซึ่งมักจะเกิดโรคขึ้นในช่วงที่มีอุณหภูมิต่ำ หรือฤดูหนาวของทุกปี
ด้าน นายกิตติพศ งามเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ผู้คร่ำหวอดในวงการเลี้ยงปลาในกระชังของซีพีเอฟ ระบุว่า การเลี้ยงปลาในกระชังช่วงฤดูหนาว เกษตรกรต้องระวังคือ ปลากินอาหารน้อย และมีปัญหาน็อกตาย เพราะการเลี้ยงปลาจะอยู่ที่อุณหภูมิ 26-30 องศาเซลเซียส แต่ในช่วงฤดูหนาวอากาศจะลดต่ำลงมาก กระทบโดยตรงต่อการเจริญเติบโตและสุขภาพของสัตว์น้ำ เพราะปลาเป็นสัตว์เลือดเย็น จึงมีอุณหภูมิร่างกายเท่ากับสภาพแวดล้อม ทำให้ระบบเมตาบอลิซึ่มในร่างกายของปลามีความผิดปกติ รวมถึงระบภูมิคุ้มกันที่จะลดต่ำลงด้วย
ดังนั้นเกษตรกรต้องปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับปลา และต้องหมั่นดูแลรักษาสุขภาพปลาทั้งที่เลี้ยงในกระชังและบ่อดิน เนื่องจากช่วงนี้อากาศหนาวเย็น ทำให้เกิดโรคได้ง่าย โดยเฉพาะปลาที่เป็นแผลตามลำตัวที่เกิดจากแบคทีเรีย โดยจะพบทุกปีในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น สร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรในหลายพื้นที่ เกษตรกรควรป้องกันปัญหาดีกว่ามาแก้ไขภายหลัง ซึ่งอาจสายเกินแก้ คืออย่าปล่อยปลาหนาแน่นจนเกินไป เลือกปล่อยลูกปลาที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และควรสังเกตการกินอาหารที่อาจลดลง จึงต้องลดปริมาณอาหารให้น้อยลง แต่บ่อยครั้ง เท่าที่ปลากินหมด และหลีกเลี่ยงการให้อาหารเช้าตรู่และก่อนค่ำ นอกจากนี้เกษตรกรควรผสมวิตามินซีและสารกระตุ้นภูมิต้านทานในอาหารให้ปลากินครั้งละ 3 วัน ส่วนการเลี้ยงในบ่ออาจนำปูนขาวหรือเกลือ มาละลายน้ำเทลงในบ่อปริมาณ 50-60 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่ เพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรีย ทั้งไม่ควรสูบน้ำเข้า-ออกภายในบ่อ และไม่ควรย้ายหรือลำเลียงปลาที่เลี้ยงไปยังที่อื่นโดยเด็ดขาดด้วย
ขณะที่ นายณรงค์ ภูล้นแก้ว เกษตรกรกลุ่มผู้เลี้ยงปลากระชังบ้านโคกกลาง ต.หัวหิน อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ บอกว่า ปีนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากอากาศหนาวมากนัก เพราะเพิ่งเข้าฤดูหนาว และอากาศก็ยังไม่หนาวจัด แต่กระนั้นก็ไม่ประมาท เพราะทุกปีเมื่อเข้าฤดูหนาวมีเกษตรกรจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาปลาน็อกและเกิดโรค แต่ปีนี้ในเขื่อนลำป่าวมีปริมาณมากพอ และสภาพของน้ำใสสะอาดจึงช่วยบรรเทาได้
ทั้งหมดนี้คือมหันตภัยสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาที่จะต้องระวังก่อนที่เกษตรกรจะได้ความเสียหายในช่วงฤดูหนาวนี้
----------------------
การป้องกันโรคระบาดในบ่อเลี้ยง
1. ถ้าพบปลาป่วยเป็นโรคระบาดในธรรมชาติในช่วงปลายฤดูฝนต่อกับฤดูหนาวให้รีบปิดบ่อ หรืองดการเติมน้ำเข้าบ่อโดยทันที
2. ในระหว่างที่ปิดน้ำ จำเป็นต้องลดปริมาณอาหารที่ให้ปลากินเพื่อป้องกันน้ำเน่าเสีย
3. ควบคุมคุณภาพของน้ำในบ่อโดยใช้ปูนขาวในอัตรา 60-100 กิโลกรัมต่อบ่อขนาด 1 ไร่ ระดับน้ำลึก 1 เมตร
4. ในกรณีที่น้ำในบ่อเริ่มเน่าเสียโดยมีแก๊สผุดขึ้นมาจากพื้นบ่อ ให้สาดเกลือบริเวณที่มีแก๊สประมาณ 200-300 กิโลกรัมต่อบ่อขนาด 1 ไร่ ระดับน้ำลึก 1 เมตร
5. เมื่อพบว่าปลาในธรรมชาติหายป่วยแล้ว และอุณหภูมิของน้ำสูงขึ้นหรือสิ้นสุดฤดูหนาวแล้ว จึงทำการถ่ายเทน้ำและเพิ่มปริมาณอาหารของปลาได้ตามปกติ
กรณีปลาในบ่อเลี้ยงป่วยด้วยโรคระบาดควรปฏิบัติดังนี้
1. ห้ามทำการเปลี่ยนน้ำหรือถ่ายเทน้ำ ปิดทางเข้า-ออกของน้ำให้สนิท
2. ช้อนปลาที่ตายหรือป่วยใกล้ตายออกเท่าที่จะทำได้ และทำลายโดยการฝังดินหรือเผาทิ้ง
3. ให้งดอาหารหรือลดปริมาณอาหารลง
4. สาดปูนขาวลงในบ่อเลี้ยงในอัตรา 60-100 กิโลกรัมต่อบ่อขนาด 1 ไร่ ระดับน้ำลึก 1 เมตร และอาจจะต้องสาดปูนขาวซ้ำอีกในอัตราเดียวกันทุกๆ 3-4 สัปดาห์
5. ในกรณีที่มีแก๊สผุดขึ้นมาจากพื้นก้นบ่อให้สาดเกลือ 200-300 กิโลกรัมต่อบ่อขนาด 1 ไร่ ระดับน้ำลึก 1 เมตร
6. เมื่อพบว่าปลาในธรรมชาติหายป่วยแล้ว จึงทำการเปิดถ่ายน้ำ และให้อาหารตามปกติ
หากพบปัญหาทางที่ดีควรแจ้งเจ้าหน้าที่ของกรมประมง หรือสถาบันวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำจืด โทร.0-2579-4122, 0-2579-6803
----------------------
(มหันตภัยที่มากับอากาศหนาว ลางร้ายเกษตรกรผู้เลี้ยงปลา : ดลมนัส กาเจ ... รายงาน)