ไลฟ์สไตล์

'กฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา'

'กฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา'

07 ธ.ค. 2556

'กฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือธรรมนูญชีวิตที่ดี ที่ทุกคนควรมีไว้ประจำใจ' บัณฑิต ปิ่นมงคลกุล : คอลัมน์คุยนอกกรอบ : โดย...มนสิกุล โอวาทเภสัชช์

               บัณฑิต ปิ่นมงคลกุล อดีตฉายา "บัณฑิตทุบโต๊ะ" ผู้ดำเนินรายการเล่าข่าว "ยามเช้าริมเจ้าพระยา" ทางค่ายเอเอสทีวี ก่อนที่จะอำลาวงการไปตั้งบริษัท บัณฑิตมีเดีย จำกัด ปัจจุบันเป็นผู้ดำเนินรายการ "ธรรมะบันดาลใจ" ช่องโลกพระพุทธศาสนา WBTV วัดยานนาวา ควบคู่ไปกับการเป็นที่ปรึกษาสถานีโทรทัศน์ "ธรรมะทีวี"

               ย้อนไปในช่วงที่เอเอสทีวีกลายเป็นกลุ่มพันธมิตรขึ้นมา รายการเล่าข่าวของเขาอิงการเมืองมากขึ้น สุดท้ายวิกฤติการเมืองก็พาเขาไปจัดรายการบนเวที แล้วก็กลายเป็นนักไฮด์ปาร์ค เขายอมรับว่า ตอนนั้นรายการของเขาไม่ใช่รายการข่าวแล้ว มันกลายเป็นการปลุกระดม เรียกง่ายๆ สมัยนี้คือการเลือกข้าง ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์หลายอย่างในสังคมไทยยาวนานเป็นระยะๆ ตั้งแต่ปี 2548 มาจนถึงทุกวันนี้ ที่ประชาชนเรือนล้านกำลังต่อต้านและต้องการขจัดระบอบทักษิณให้หมดไปในสังคมด้วยวิธีการชุมนุมอีกครั้งหนึ่ง

                ครั้งนี้บัณฑิตกลับมาร่วมคัดค้านการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลด้วย แต่ก็เป็นการคัดค้านแบบใหม่ ไม่ได้ขึ้นเวทีใดๆ แต่นำเสนอข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กของเขาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากการปฏิบัติธรรมเงียบๆ อย่างต่อเนื่องที่วัดป่ามณีกาญจน์ กับหลวงปู่สาคร ธมฺมาวุโธ ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ทำให้เขาได้มองอะไรใหม่ๆ หลายอย่างที่จะสามารถนำธรรมะมาเชื่อมโลกสื่อสารมวลชนกับโลกแห่งความเป็นจริงให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ดังที่เขากล่าวว่า...

                "ผมเคยอยู่กับการปลุกระดม การสร้างความเกลียดชัง แต่โลกของธรรมะทำให้ผมเย็นลง ทำให้เห็นว่า ชีวิตไม่ได้ยืนยาว ถ้าเราตกเป็นทาสของอารมณ์ เราจะเป็นคนที่เจ็บปวดมากที่สุด ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ"

               -อะไรเล่าที่จะทำให้เราอยู่กันได้อย่างไม่เจ็บปวดในวันนี้และวันต่อๆ ไป

                เราต้องนำธรรมนูญชีวิตมาเป็นคู่มือชีวิตกันได้แล้ว เพราะว่า คนเราเกิดมาชาติหนึ่งมีอายุกันไม่เกิน 100 ปี จะอยู่กันกี่ปีก็แล้วแต่ ถ้าทุกคนตระหนักเป็นเบื้องต้นว่า ชีวิตมันเป็นของไม่เที่ยง กว่าจะมีชีวิตเติบโตขึ้นมาได้ ก็ต้องผ่านความทุกข์ หรือความบีบคั้นต่างๆ มากมาย สุดท้าย เมื่อเกิดมาแล้ว เราก็พยายามแสวงหาสิ่งต่างๆ มาเป็นของตน แสวงหาความรู้ ทรัพย์สินเงินทอง แสวงหาสามีภรรยา ครอบครัว ที่เราคิดว่าเป็นของเรา แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ มันนำไปสู่ความเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนที่แท้จริง แม้แต่ร่างกายของเราก็ต้องลาจาก

               พื้นฐานเบื้องต้น ผมคิดว่า กฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือธรรมนูญชีวิตที่ดี ที่ทุกคนควรมีไว้ประจำใจ ต่อให้คุณมีอำนาจมากแค่ไหนก็ตาม ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม จะพยายามรักษาตัวตนไว้แค่ไหนก็ตาม สุดท้ายสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นของคุณ หรือคุณคิดว่าไม่มีใครทำอะไรคุณได้ ความตาย ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องทำให้คุณอยู่ในกฎไตรลักษณ์อยู่ดี ผมคิดว่า กฎไตรลักษณ์ เราควรมีไว้เป็นธรรมนูญในจิตใจ

               พระพุทธองค์ตรัสรู้อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แต่คนเรามักจะวนเวียนอยู่ใน "ทุกข์" แค่นั้น แม้ว่าจะต่อสู้เรื่องอะไรก็ตาม หรือจะต่อสู้กับตนเองก็ตาม มันก็วนเวียนอยู่ในทุกข์ ไม่ก้าวไปสู่การหาเหตุแห่งทุกข์ ไม่ก้าวไปสู่หนทางแห่งการดับทุกข์ และไม่ก้าวไปสู่การพ้นทุกข์ เพราะมองว่า ทุกข์คือสุขอยู่นั่นเอง ความจริงแล้ว ที่เรามองว่าสุขก็เป็นของชั่วคราวแค่นั้น แล้วก็จะกลับมาทุกข์เหมือนเดิม เพราะความที่มันไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ รวมถึงความคิดเกี่ยวกับบุญและบาป คนเดี๋ยวนี้ก็ห่างไกลมากในความเข้าใจเรื่องบุญและบาป

               บุญและบาปที่แท้จริง เริ่มจากจิตใจของเราเอง ถ้าเราไม่สามารถละบาปคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลงจากจิตใจของเองได้ ก็จะนำไปสู่การทำบาปอีกมากมาย ศีลธรรมขั้นพื้นฐาน หิริโอตตัปปะ ความละอายและความเกรงกลัวต่อบาปก็จะไม่เกิดขึ้น หรือน้อยลงในสังคมปัจจุบัน เพราะเราไม่ได้ส่งเสริมในเรื่องของความเข้าใจในเรื่องของบุญและบาป ที่จะทำให้จิตใจเราหลุดพ้นจากความอยาก ความต้องการของเราที่จะนำไปสู่ความทุกข์ได้ เพราะเราไปให้ค่านิยมกับเรื่องของวัตถุ กลายเป็นสังคมที่ตกเป็นทาสของวัตถุนิยม ไม่ได้สนับสนุนให้เกิดสังคมนิยมธรรม หรือสังคมที่นิยมความเป็นจริงของชีวิต

               -การเคลื่อนไหวต่อต้านคอร์รัปชั่น ทำอย่างไรให้เกิดสังคมนิยมธรรมขึ้นได้จริง

               ผมคิดว่า ไม่ว่าประชาชนฝ่ายไหนก็ตาม เขามีความต้องการแสดงออกทางการเมืองเขาย่อมมีสิทธิ์ในทางรัฐธรรมนูญที่ทำได้ เมื่อเขาเห็นว่า รัฐบาลพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกกฎหมายที่ขัดกับหลักจริยธรรม ในเรื่องของคอร์รัปชั่น ประชาชนก็มีจิตสำนึก ไม่มีใครยุเขาออกมา เขามีจิตสำนึกในการออกมาแสดงบทบาทว่าไม่เห็นด้วยในเรื่องของทุจริตคอร์รัปชั่น ไปจนถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อที่จะคงอำนาจหรือขยายอำนาจตัวเองออกไปโดยไปตัดเรื่องการถ่วงดุลจากองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อให้ตนเองเข้าไปครอบงำองค์กรอิสระต่างๆ ได้ รัฐธรรมนูญปี 40 ก็มีบทเรียนมาแล้ว แต่ด้วยสภาพการเมืองที่ฝ่ายรัฐบาลมีอำนาจอย่างมากในการที่จะควบคุมนิติบัญญัติได้ ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นแค่ลูกน้องของฝ่ายบริหารเท่านั้นเอง เสียงส่วนน้อยในสภา ทำอะไรไปก็ไม่ได้รับการใส่ใจจากรัฐบาลเลย รัฐบาลก็เดินหน้าอย่างเดียวที่เรียกว่าสุดซอย

               คือการที่พูดคำนี้ออกมาได้ก็เพราะว่า รัฐบาลไม่สนใจใครอีกต่อไป เขาทำได้ทุกอย่างตามที่เขาต้องการ เมื่อเป็นอย่างนี้ การเมืองก็ไม่สามารถตอบสนองคนได้ในการที่จะแสดงความคิดเห็น เขาก็ต้องออกมาแสดงความคิดเห็นนอกสภา การออกมาอยู่นอกสภาจะให้เหตุการณ์ยุติโดยเร็วก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเมื่อเขาออกมาแล้ว เขาก็มีข้อเรียกร้อง และเมื่อข้อเรียกร้องไม่ได้รับการตอบสนองก็จะมีมาตรการต่างๆ ออกมา อันนี้เป็นปกติของระบบประชาธิปไตย ที่เมื่อใดก็ตาม ระบอบรัฐสภากลายเป็นเผด็จการรัฐสภา ละเลยฟังเสียงส่วนน้อย จริงๆ ก็ไม่น้อยนะ ฝ่ายหนึ่งมี 15 ล้านเสียง อีกฝ่ายมี 13 ล้านเสียง เสียงก็ก้ำกึ่งกัน แต่ว่าฝ่ายที่ตัวเองคิดว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จกระทำการประหนึ่งว่า ไม่เห็นหัวอีกฝ่ายหนึ่งเลย จะทำให้ความรู้สึกโกรธแค้นชิงชังมันมากขึ้นจนระเบิดออกมาอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้

               มันอยู่ที่จิตสำนึกของผู้มีอำนาจ ถ้าเขาใช้อำนาจนั้นเพื่อตัวเขาเอง สุดท้ายแล้วประชาชนก็จะลุกขึ้นมาปกป้องความยุติธรรม หรือความเป็นธรรม เพราะว่ารัฐบาลชุดนี้ ทั้งฝ่ายพรรคเพื่อไทย หรือฝ่ายรัฐสภา ต่างออกมาประกาศไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งประธานรัฐสภาประกาศเลยว่า ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินอะไรออกมาก็จะไม่ฟัง สังคมแบบนี้ แสดงว่าระบบนิติธรรมได้พังทลายลงไปจนหมดสิ้น ก็ในเมื่อคุณคิดว่ามีอำนาจแล้วจะไม่ฟังองค์กรการตรวจสอบของศาลยุติธรรม อันนี้คืออันตรายอย่างมาก ที่มีคำกล่าวที่แชร์กันไปเยอะๆ ว่า ผู้นำที่ขาดหลักยุติธรรม การต่อต้านของประชาชนก็เป็นหน้าที่

               ถามว่า เราชอบหรือที่เห็นคนออกมาประท้วงบนท้องถนน หรือเห็นบ้านเมืองไม่สงบ ทุกคนก็อยากเห็นบ้านเมืองสงบกันทั้งนั้น แต่ก็ต้องตั้งคำถามกลับไปว่า เมื่อผู้มีอำนาจกระทำการในลักษณะข่มเหงจิตใจ ความรู้สึกของประชาชนผู้รักความเป็นธรรม หรือความยุติธรรม มันก็จะนำไปสู่เหตุการณ์ในการเผชิญหน้า เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อปี 2548 รัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร ก็เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังใช้วิธีการเดิมๆ จึงเป็นเรื่องของวิถีเรียกร้องให้เกิดการแก้ไขปฏิรูปประเทศไทย มองไปสู่กติกาการเข้าสู่อำนาจโดยสภาประชาชน เมื่อเขาเห็นว่า รัฐสภาวันนี้ ฟังคนเดียว และคนคนนั้นก็เป็นนักโทษหนีคดีด้วย นี่เป็นปัญหาที่ทุกคนอยากให้มีทางออกด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเรากลับไปเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นระบบเดียวที่มีอยู่ เงินก็ยังเป็นปัจจัยชี้ขาดในการชนะการเลือกตั้งอยู่ดี

               พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) พูดไว้ดีมากเลย ท่านบอกว่า การเลือกตั้งเป็นการวัดความต้องการของคน ไม่ได้วัดความถูกต้อง เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าคุณจะอ้างว่าได้รับการเลือกตั้งมา 15 ล้านเสียง ความต้องการของคนที่เขาเลือกคุณมันหลากหลายมาก เขาอาจจะอยากได้ค่าแรง 300 บาท อยากจะได้ค่าประกันราคาข้าว รวมถึงอยากจะได้รถคันแรก นี่คือความต้องการของคน แต่เมื่อคุณเข้ามาแล้ว คุณต้องเคารพในเรื่องของความถูกต้อง เคารพคำตัดสินของศาลสถิตยุติธรรม เมื่อคำชี้ขาดของศาลถูกทำลายลงได้ด้วย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นี่คือจุดแตกหักของคุณธรรม และจริยธรรม ว่า บ้านนี้เมืองนี้จะอยู่กันอย่างไร สิ่งที่คนคนเดียวจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจเขา ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่จำนวนมากยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อออกมาต่อต้านการกระทำในลักษณะที่เป็นเผด็จการเช่นนี้ ไม่เฉพาะประเทศไทยเรา ประเทศอื่นๆ ที่เป็นเผด็จการจากการเลือกตั้งก็มีมาแล้วในอดีต

 

.........................

('กฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือธรรมนูญชีวิตที่ดี ที่ทุกคนควรมีไว้ประจำใจ' บัณฑิต ปิ่นมงคลกุล : คอลัมน์คุยนอกกรอบ : โดย...มนสิกุล โอวาทเภสัชช์)