
สัมพันธ์แห่งขุนเขา'หมื่อกาโด-พะติโด'
สัมพันธ์แห่งขุนเขา หมื่อกาโด-พะติโด : คอลัมนชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง/ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์
เรื่องราวเล่าขาน ถึงตำนานแห่งดอยหมื่อกาโด และพะติโด สองดอยสูงในภาคเหนือ แม้จะไม่ไกลกัน แต่ก็อยู่คนละจังหวัด เหมือนกับเรื่องราวที่มาของชื่อขุนเขาแห่งนี้ แถมถ้าตามอ่านเรื่องราวจากพื้นที่ยังไม่เหมือนกันซะอีก แต่ก็ลงท้ายคล้ายๆ กัน คือ การมีปากเสียง การแยกย้าย การแยกทาง
หมื่อกาโด อยู่ในพื้นที่ ต.แม่ยวมน้อย อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ส่วนดอยพะติโด ที่สูงสูสีกัน อยู่ในพื้นที่ ต.แม่ศึก อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่
เรื่องราวขานจาก ต.แม่ศึก เล่าว่า มีสองผัวเมียชาวกะเหรี่ยงคู่หนึ่ง เดินทางออกจากบ้านมาหาของป่า โดยแยกย้ายไปคนละทาง พอกลับมาถึงบ้านต่างคนต่างเล่าถึงสิ่งที่พบเห็น ต่างคนก็ต่างอวดว่าตัวเองได้เดินทางไปหาของป่าไกลมาก และขึ้นไปบนดอยที่สูงที่สุด เกิดการถกเถียง ทะเลาะกัน จนชาวบ้านได้ยินไปทั่ว แล้วก็เลยเรียกชื่อดอยที่ฝ่ายชายไปขึ้นว่า ต่าหลู่พะติโด แปลว่า ดอยลุงใหญ่ แล้วเรียกดอยที่ฝ่ายหญิงไปขึ้นว่า ต่าหลู่หมื่อกาโด แปลว่า ดอยป้าใหญ่
ขณะฝ่ายดอยหมื่นกาโด มีเรื่องเล่าจากบ้านหัวแม่ละก๊ะ ที่อยู่เชิงดอยหมื่อกาโด เล่าต่อๆ กันมาว่า ในอดีตมีหญิงชายคู่หนึ่งรักกันมานาน และได้ตกลงแต่งงานกัน มีลูก 2 คน ชายและหญิง แต่ไม่กี่ปีต่อมาเกิดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ถึงขั้นต้องเลิกรากัน ทั้งคู่ได้ตกลงแบ่งลูกกัน ฝ่ายชายที่ชาวบ้านเรียกกันว่า พะติโด (ลุงใหญ่) ก็ได้พาบุตรชายเข้าป่าขึ้นเขาไปทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ติดกับหมู่บ้านปางเกี๊ยะ และบ้านแม่สะต๊อบ ส่วนฝ่ายหญิงที่ชาวบ้านเรียก หมื่อกาโด (ป้าใหญ่) ก็พาลูกสาวแยกไปอีกทาง ขึ้นเขาทางทิศใต้ ซึ่งติดกับบ้านหัวแม่ลาก๊ะ บ้านแม่โกปี่ หลังเหตุการณ์ชาวบ้านไม่กล้าออกตามหาด้วย เพราะป่าสมัยก่อนยังมีสัตว์ป่าดุร้าย เลยไม่มีใครรู้ชะตากรรมของบุคคลทั้งสี่ เหลือเพียงตำนานที่เล่าขานกันมา โดยเรียกชื่อเขาทั้งสองลูกว่า พะติโด และหมื่อกาโด แถมยังมีความเชื่อว่า คู่รักที่ยังไม่แต่งงานกันไปขึ้นเขาสองลูกนี้ จะไม่สมหวัง
แต่ไม่ว่าเรื่องราวเล่าขานจะเป็นอย่างไร ฉันกับผองเพื่อนที่รักการเดินทางก็ตกลงปลงใจว่า เราจะไปเดินเชื่อมสัมพันธ์ให้ลุงใหญ่ และป้าใหญ่ ได้กลับมาผูกพันกันเหมือนเดิม ทั้งที่จริง พะติโด ไม่ต้องเดินก็ยังได้ เนื่องจากรถขึ้นไปถึงด้านบน ซึ่งทำเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติไว้ เห็นยอดพะติโดไม่ไกล ก็ตาม
หลังจากติดต่อคนนำทางและลูกหาบ ผ่านเจ้าหน้าที่ โครงการหลวงปางอุ๋ง อ.แม่แจ่ม คนละสถานที่กับอ่างเก็บน้ำพระตำหนักปางตอง หรือที่ใครๆ ก็เรียก ปางอุ๋ง ซึ่งฮอตติดชาร์ตในเวลานี้ ได้คนนำทางรุ่นเก่า ที่บอกว่า แทบไม่เคยมีใครเดินในเส้นทางนี้มาก่อน แถมเป็นลุงคนเดียวที่รู้ทางเชื่อมระหว่างป้าใหญ่และลุงใหญ่เส้นนี้
เราเดินทางผ่านแม่แจ่ม ทะลุขึ้นขุนยวมช่วงปลายปี ดูจะคึกคัก เพราะดอกบัวตองดอยแม่อูคอบานสะพรั่ง แต่เรามุ่งตรงไปที่โครงการหลวงปางอุ๋งเลย เพราะเวลาค่อนสายแล้ว กว่าจะเตรียมตัว และเดินทางเข้าไปจุดขึ้นเป้เชิงเขา ก็ใช้เวลาเอาการ เราเลือกเดินขึ้นหมื่อกาโดก่อน แล้วเชื่อมต่อไปพะติโด
รถ 4WD พาเราโขยกเขยกไปตามถนนลูกรัง ข้ามน้ำ ผ่านต้นไม้รกๆ ทางแคบเข้าเรื่อยๆ ไปสุดชายป่า
"โอ๊ะ...ขึ้นเป้ก็ขึ้นชันเลยรึ" ทางชันๆ มุ่งขึ้นสู่สันเขา กับเวลาที่เลยบ่ายเข้าไปแล้ว ก็แค่บ่นในใจ แต่ทุกคนก็จัดการแบ่งข้าวของ ขึ้นเป้ แล้วเดินหน้าต่อ ทางชันขึ้นเรื่อยๆ ชนิดเดินกันจนเย็นก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงสันเขาซะที จากเดินต่อเนื่อง ก็เริ่มเดินไป พักไป ยิ่งช่วงสุดท้ายก่อนขึ้นสันเขา แสงสุดท้ายเริ่มจะลาลับขอบฟ้า แล้วท้ายที่สุดก็ต้องส่องไฟฉายเดินไปหาที่ตั้งแคมป์จนได้ เพื่อนที่ไปถึงก่อนช่วยกันจัดแจงกางเต็นท์ ตั้งกองกลาง หุงหาอาหาร เหมือนแบ่งหน้าที่กันโดยไม่ต้องบอกกล่าว
ช่วงค่ำที่แคมป์นี่ล่ะ ที่ฉันชอบนักชอบหนา ที่จะได้ล้อมวงคุยกัน ล้อมวงกินข้าว เป็นบรรยากาศที่เรียกเสียงหัวเราะได้อย่างเบิกบานใจโดยไม่ต้องเสแสร้งใดๆ อากาศยามนี้ไม่ต้องพูดถึง ทุกคนซุกตัวอยู่ในเสื้อกันหนาว แล้วไม่นานก็แยกย้ายกันไปคุยต่อในเต็นท์อุ่นๆ เพราะบนยอดดอยห้วงฤดูกาลนี้ พอหมดแดด อากาศก็เย็นวูบลงทันทีเหมือนกัน
ตี 5 กว่าๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกกันตื่น เพราะเราจะเดินขึ้นไปดูทะเลหมอก ทักทายดวงตะวันยามเช้า ดูยอดเขาแล้ว ระยะทางไม่น่าจะเกิน 20 นาที แต่ช่วงท้ายๆ ของ 20 นาที ที่ขึ้นทางชันนี่สิ หยุดหอบไปหลายยกเชียว แล้วเราก็ขึ้นไปแตะยอดสูง 1,927 ม.รทก. กับบรรยากาศยามเช้า เห็นวิว 360 องศา ทีเดียว ทะเลหมอก แม้ไม่หนานุ่มเหมือนป่าทางฝั่งแม่เมย จ.ตาก แต่ก็นุ่มนวลละมุนละไม รอรับแสงแรกแห่งวันสาดลงมาทักทาย ถึงเวลานั้น ก็ไม่มีใครคุยกับใคร เพราะมัวแต่สนใจเก็บภาพกันซะมากกว่า
จวนสาย ท้องร้องอุทธรณ์นั่นแหละ ถึงได้ลงจากยอดมาจัดการมื้อเช้าได้ เสร็จสรรพก็เก็บแคมป์ ขึ้นเป้ออกเดินทางกันต่อ เป้าหมายวันนี้เราจะไปให้ถึงดอยลุงใหญ่ หรือพะติโด ที่ดูเหมือนไม่ใกล้ ไม่ไกล ในสายตา แต่เขาที่ขวางกัน ดูเส้นทางคมๆ แบบสันคมมีด ที่เราอาจจะต้องผ่านไป คงใช้เวลาน่าดู
เราเดินขึ้นยอดหมื่อกาโดอีกครั้ง เพื่อข้ามไปอีกฝั่งของเขา แล้วมุ่งหน้าไปพะติโด แค่ตอนไต่ลงจากยอดพะติโด ก็ทำเอาขาสั่น เพราะมันพลาดไม่ได้แน่ๆ แถมหินข้างๆ เขายังยึดเกาะไม่ได้มาก เพราะร่วนมาก สุดท้ายได้กอหญ้านั่นแหละที่รากซอนลึกลงไปในดิน ให้เราใช้ยึดเหนี่ยวต้น พยุงตัวเราขึ้น หรือลงเขาได้ กว่าจะข้ามสันเขาลูกแรกไปได้ก็หนักหนา แต่นี่แค่บทเริ่มต้น...
ลงจากเขาลูกนี้ ไต่ขึ้นลูกนั้น แล้วไปขึ้นลูกโน้น สุดท้ายคนบางคนเริ่มท้อ ฉันเอาก็เดินจนจะท้อ แต่ถ้าถอยหลัง ระยะทางและความเหนื่อยก็ไม่ต่างกัน เป้าหมายข้างหน้า น่าสนใจกว่า ข้างทางยังพอมีดอกไม้สวยๆ ให้ชื่นใจ กุหลาบพันปีมีแต่ยังไม่ออกดอก ป่านี้ยังมีสัตว์ป่าอยู่บ้าง ซึ่งที่นี่ได้ชื่อว่า เป็นบ้านของ "กวางผา" อีกแห่งหนึ่ง นอกจากกิ่วแม่ปาน ดอยอินทนนท์และดอยหลวงเชียงดาว แต่แม้ไม่เห็นตัว แต่ก็ดีใจที่รู้ว่ามันยังอยู่
คล้อยบ่าย ดอยพะติโด ที่สูงใหญ่ก็อยู่ตรงหน้า แต่เราจะไม่ขึ้นไปนอนข้างบนนะ แค่ไต่เลาะช่วงกลางๆ ไป ตั้งแคมป์กันอีกด้าน แต่ บระเจ้า....ฉันวางขาไปได้ข้างเขาที่ละข้าง มือรวบกอหญ้าที่อยู่สูงขึ้นไป เป็นที่พยุงตัว
"เทคตัวขึ้นไปเรื่อยๆ อย่าหยุดนะ มันจะไหล" เสียงบอกต่อๆ กันไป แล้วก็เสียวแว้บ เพื่อนฉันไถลลงไปนู่น ดีที่ว่ายั้งตัวเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะลงไปลึกแล้วขึ้นลำบาก ผ่านตรงนี้ไปถึงสันเขาได้ก็แทบไชโย
ตะวันคล้อยบ่ายลงเรื่อยๆ ไม่ทันเย็นมากก็ถึงที่ตั้งแคมป์ ที่รถขึ้นมาจอดถึง คราวหน้าค่อยมาทางรถนะ 555
วันนี้ได้พักขาสบายๆ ไปถึงเช้า ที่ไม่ต้องรีบตื่นมาก เพราะเดินไปไม่ไกลก็พอจะดูอาทิตย์ขึ้นได้ แล้วก็ไปเดินเล่นฝ่าสายหมอกเช้าๆ ก่อนเดินทางกลับ
เส้นทางเดินชันมากๆ แต่ยังดีที่มีบันไดให้ กุหลาบแดงเริ่มผลิดอกทักทาย ดอกหญ้าล้อลมริมหน้าผา
ในธรรมชาติแบบนี้ อะไรๆ ก็ดูสวยงามโดยไม่ต้องแต่งเติม และก็รู้แล้วว่า ทำไมลุงใหญ่กับป้าใหญ่ต่างอ้างว่า เขาที่ตนเองไปขึ้นนั้นลำบากและสูงชันกว่า แต่อย่าให้ฉันตอบแทนเลยว่ายอดไหนลำบากและชันกว่า เอาเป็นว่า ตอนนี้ถ้าจะไปหาลุง สะดวกกว่า เพราะนั่งรถขึ้นไป แล้วเดินขึ้นทางชันอีกหน่อย แต่ถ้าจะไปหาป้าใหญ่ ยังต้องเดินขึ้นเขาอีกไกล
......................
(สัมพันธ์แห่งขุนเขา หมื่อกาโด-พะติโด : คอลัมนชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง/ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์)