
ศิลป์แห่งแผ่นดิน : เขื่อนอวิชชา
ศิลป์แห่งแผ่นดิน : เขื่อนอวิชชา : โดย...ศักดิ์สิริ มีสมสืบ
“เขื่อนอวิชชา” เป็นคำแรงไปไหม จากคนไม่เอาเขื่อน ถึงคนเอาเขื่อน ผมก็เหมือนคนอื่นๆ ที่ต้านเขื่อนแม่วงก์ คือไม่ได้ต้านเขื่อน แต่ต้านเขื่อนแม่วงก์ที่ต้องสร้างในผืนป่าแม่วงก์ แต่หากจะสร้างเขื่อนแม่วงก์ในที่ที่ไม่ต้องทำลาย ไม่ต้องข่มขืนกระทำชำเราแม่วงก์ ผมไม่ว่าอะไร
สำหรับผม ไม่ยินดีรับฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ควรต้องมีคำถามว่า การสร้างเขื่อนในเขตป่าสมบูรณ์นั้น คุ้มค่าหรือไม่ มีผลดีผลเสียอย่างไร มีอย่างเดียวคือ เขื่อนไม่ต้องเสือกมายุ่งกับผืนป่า มนุษย์ควรหยุดได้แล้ว ไม่ใช่เฉพาะป่าที่นี่ ไม่ว่าที่ไหนในโลกก็ต้องหยุด เพราะมันเกินไปแล้วมนุษย์เอ๋ย
ไม่ใช่เรื่องหลักการ และเหตุผลอะไรหรอกครับ ไอ้เขื่อนที่จะสร้างนี่ มันเป็นเรื่อง “โรคจิต” ของมนุษย์โดยแท้ ที่ชอบทำลายพรหมจรรย์ หลงติดการ “บูชายัญ” ไม่ยอมเลิก ไม่ยอมบรรลุ
จะคิดไปทำไมล่ะครับ เพราะมนุษย์ก็คิดมามากแล้ว รู้ดีอยู่แล้วเรื่องเหตุ เรื่องผล น่าจะคิดง่ายๆ แค่ว่า ป่าทั้งโลกเหลือน้อยเต็มที จะต้องไปยุ่งอะไรกับป่า ก็แค่นี้แหละ จะไปคิดคำนวณหาโตมร (หอก) อะไรล่ะครับ น้ำจะท่วมก็ยอมๆ น้ำไปเถอะมนุษย์เอ๋ย ที่มันฉิบหายวายวอดนี่ก็เพราะมนุษย์สร้างเหตุขึ้นมาทั้งนั้น ก็ไอ้ถนนหนทางที่ระโยงระยางเป็นตาตารางทั่วประเทศนั่นมันก็คือเขื่อนไม่ใช่หรือ เป็นที่เก็บกักน้ำอยู่ไม่เห็นหรือ ก็เห็นตั้งเครื่องสูบออกกันจ้าละหวั่น สูบจากที่หนึ่งให้ไปท่วมอีกที่หนึ่ง กำแพงรั้วบ้านนั่นก็เขื่อน พอเขื่อนตัวเองเต็มก็สูบน้ำออกไปท่วมคนอื่น
ที่ตัวเองต่ำก็ไปขุดดินที่อื่นเอามาถมให้สูง เอาตัวเองรอดไป พอที่มึงสูงที่กูก็ต่ำ กูก็เลยไปขุดดินที่อื่นมาถมไล่ตาม ไอ้ที่ถมก็สูงแข่งกันไปเรื่อยๆ ไอ้ที่อยู่เฉยก็เลยกลายเป็นต่ำ ไอ้ที่โดนขุดก็ต่ำลงไปเพื่อให้อีกที่มันสูงขึ้นน่ะแหละ ถ้าที่กูต่ำกูก็สร้างคันเขื่อนล้อมรอบ แล้วก็สูบน้ำออกไปพ้นที่กูให้ไปท่วมที่อื่น ก็เพราะมีกูมีมึงนี่แหละถึงได้มีคำว่าจะเอาคนหรือเอาสัตว์ แล้วคนก็ไม่รู้ว่าไอ้ตรรกะแบบนี้แหละทำให้คนกลายเป็นสัตว์ไปในสายตาของคนที่มีอำนาจมากกว่า
พวกเอาเขื่อนก็เอาไปเถิดครับ ก็ไปสร้างในที่ที่ไม่ต้องทำลายป่า ก็มึงเองแหละครับที่มี “ความรู้” อยู่แล้วว่า สาเหตุหนึ่งของน้ำท่วมก็คือป่าถูกทำลาย แล้วมึงยังเสือกจะมาทำลายอีก แล้วนี่มันตรรกะประสาอะไร อะไรจะสับสนปานนั้น โรคจิตซะมากกว่าครับ
มนุษย์นี่แย่จริง มีแต่ความรู้ แต่ไม่รู้ ความไม่รู้เอาเสียเลย ไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักพอ มองเห็นแต่ป่าได้ที่ไหนต้องเห็นภูเขาน้ำแข็งที่กำลังละลายอยู่ที่ขั้วโลก เห็นป่าที่บราซิล ที่บอร์เนียว ด้วย ป่าในพม่า ในลาว ป่าในอเมริกาใต้ ออสเตรเลีย เห็นทะเลทรายอันร้อนระอุ เห็นกระแสน้ำอุ่นน้ำเย็นที่เปลี่ยนผันไป เห็นพายุในมหาสมุทร เห็นคลื่นที่ใต้น้ำ เห็นชั้นบรรยากาศ เห็นภูมิอากาศที่วิกฤติ เห็นจิตใจมนุษย์ที่วิปริต อุบาทว์ โลภ โกรธ หลง บ้าคลั่งขึ้นไปทุกวันเวลานาที
เขื่อนอวิชชา จะกักเก็บกิเลสตัณหาได้กี่ล้านลูกบาศก์เมตรกันหนอ ก็ที่มีอยู่ยังไม่รู้อีกหรือว่ามันไม่ช่วยให้รอดพ้นจากความฉิบหาย ทุกแม่น้ำก็ล้วนแล่มีเขื่อนแล้วทั้งนั้น ก็เหลือแต่แควยม กับแม่วงก์นี่แหละ ข่มขืนแม่วงก์เสร็จ ก็เอาแก่งเสือเต้นไปเสียด้วยเลย ฝันไปเถอะ อะไรมันจะดี มีแต่ฉิบหายก็เพราะมันเป็นเรื่องเขื่อนอวิชชา หลงติดกับดักของการพัฒนา แล้วก็เที่ยวไปปลุกผู้คนให้เห็นดีเห็นงามด้วยการแบ่งแยก แยกมนุษย์ออกจากมนุษย์ แยกมนุษย์จากสัตว์ แยกมนุษย์จากธรรมชาติ สร้างความเกลียดชังว่า ใครที่ไม่เอาเขื่อน เป็นพวกขัดขวางความเจริญ เป็นพวกเห็นสัตว์ดีกว่าคน ไม่ฟังเหตุผล ไม่ดูตากัน ไม่มองใจกัน ป่าอยู่เฉยๆ สัตว์ป่าอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรใครเลย ป่ามีแต่คุณประโยชน์ให้มนุษย์ ครรลองธรรมชาติดำเนินมาแต่ไหนแต่ไร ความโง่เขลา ความไม่รู้ของมนุษย์ต่างหากที่ขัดขวาง ครรลองธรรม
เหตุผลของการทำลายกับเหตุผลของการรักษานั้นต่างกัน ฝ่ายทำร้ายเป็นฝ่ายรุก ฝ่ายรักษาเป็นฝ่ายรับ โดยมนุษย์นั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นผู้ควบคุมบงการ ไม่รู้ตัวหรอกว่า นี่คือทางหายนะ
ไม่ใช่แค่เรื่องเขื่อนหรอกครับ เราต่อสู้กันเพื่อวิถีแห่งครรลองที่สอดคล้องธรรมชาติต่างหาก ต่อสู้กับความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความหลงทะนงตน ที่ทำให้มนุษย์หน้ามืดตามัวทำร้ายโลก ซึ่งก็คือทำร้ายตัวเองนั่นแหละครับ เพราะมนุษย์ก็คือโลก
เป็น “ศิลปิน” ก็แต่งกลอนไป แต่งเพลงไป วาดรูปไป สร้างงานศิลปะไป ก็สู้กันไป ผืนป่าทั่วโลกถูกโอบล้อม รุกราน คุกคาม ถอยร่น รอบด้าน พลัดพราก กระจัดกระจาย มลาย ฉิบหาย สิ้นสูญ ศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม สันติภาพ เสรีภาพ อิสรภาพ ภราดรภาพ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้แล แต่เอวังแล้วมันไม่จบ ยังต้องต่อสู้กันต่อไป สู้กับความไม่รู้นี่ยากชนะ...แต่ก็สู้กันไป
-------------------------
(ศิลป์แห่งแผ่นดิน : เขื่อนอวิชชา : โดย...ศักดิ์สิริ มีสมสืบ)