ไลฟ์สไตล์

อุตสาหกรรมไทยในอนาคต ต้องเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว

อุตสาหกรรมไทยในอนาคต ต้องเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว

12 ต.ค. 2556

อุตสาหกรรมไทยในอนาคต ต้องเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) : คอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษ : ดร.วิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

               กระทรวงอุตสาหกรรม กำหนดทิศทางให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทั้งขนาดใหญ่ ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs พัฒนาสู่ความเป็นเลิศและก้าวเดินไปในทิศทางเดียวกัน ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาอุตสาหกรรมปี 2555-2574 ซึ่งจะเป็นการยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมสู่มาตรฐานสากล และสร้างความแข็งแกร่งให้แก่อุตสาหกรรมไทยด้านการเพิ่มขีดความสามารถทางด้านการแข่งขัน ตลอดจนสร้างจิตสำนึกให้แก่ผู้ประกอบการตระหนักและเรียนรู้การดำเนินธุรกิจแบบใส่ใจในสิ่งแวดล้อมและชุมชน

               ดร.วิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดและวางยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้อุตสาหกรรมไทยมีการเติบโตอย่างยั่งยืน และสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับกระแสโลก ที่ให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาที่สมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

                "กระทรวงอุตสาหกรรม วางกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ด้วยการกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในอนาคตให้อยู่ภายใต้แนวความคิดของอุตสาหกรรมสีเขียว หรือ Green Industry เพื่อสร้างจิตสำนึกให้กับผู้ประกอบการ ดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจชุมชนและสิ่งแวดล้อม เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมทั้งระบบเกิดความยั่งยืน โดยจะต้องคำนึงถึงการผลิตที่เกิดความสมดุลใน 3  ด้าน คือ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เติบโตพัฒนาไปพร้อมๆ กัน"

               กระทรวงอุตสาหกรรมผลักดันแนวความคิดเรื่องอุตสาหกรรมสีเขียวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว และเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังทันที หลังจากที่มีการประกาศเป็นแนวนโยบายประมาณ 3 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เพราะตระหนักดีว่า เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในยุคปัจจุบันของทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งตื่นตัวและผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมสีเขียวอย่างเป็นรูปธรรม

                ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีแนวความคิดใน การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industry) ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Town) ที่สามารถตอบโจทย์อุตสาหกรรมสีเขียวได้ทั้งหมด มีโครงการนำร่องที่เรียกว่า 10+1 จังหวัด <cTypeface:>ได้แก่ ระยอง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครราชสีมา ขอนแก่น ลำพูน สงขลา และปราจีนบุรี

               "ในอนาคต อุตสาหกรรมไทยจะเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้น ทั้งจากผู้ประกอบการภายในประเทศ และการแข่งขันจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอกาสที่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในอีก 2 ปีข้างหน้า ยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้กระทรวงอุตสาหกรรมต้องเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการ เชื่อว่า อุตสาหกรรมสีเขียวจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น และอาจจะกลายเป็นเครื่องมือที่เป็นมาตรการกีดกันทางการค้าสำหรับต่างประเทศอีกตัวหนึ่งด้วย"

                สำหรับการอยู่ร่วมกับระหว่างอุตสาหกรรมกับชุมชนอย่างยั่งยืน ปลัดวิฑูรย์ กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมตระหนักถึงเรื่องนี้อย่างมาก จึงเร่งผลักดันโครงการนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งหวังให้เกิดประสิทธิภาพทางด้านการผลิตที่สามารถแข่งขันได้ในเชิงธุรกิจ และที่สำคัญเป็นไปตามเงื่อนไขของการค้าเสรี ที่เน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า ลดการปล่อยของเสียและมลพิษสู่ชุมชนและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิดความสมดุลระหว่างสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม

                "การผลักดันของหน่วยงานรัฐเพื่อให้ภาคการผลิตมุ่งสู่ความเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อการพัฒนาอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยกระทรวงอุตสาหกรรมต้องการให้การเติบโตทางด้านเศรษฐกิจมีความสอดคล้องกับระบบนิเวศ ทั้งความสุข สงบของชุมชน เช่น การอนุรักษ์พลังงานในกระบวนการผลิต การใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่า การใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการจัดหาแหล่งวัตถุดิบที่เหมาะสม การพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้กับผู้ประกอบการ" 

                ทั้งหมดเป็นแนวทางที่สามารถลดผลกระทบในแง่ความขัดแย้งกับคนในพื้นที่ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามที่จะดึงคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เชื่อว่า หากทุกฝ่ายมีความเห็นตรงกัน ปัญหาความขัดแย้งหรือผลกระทบจากปัญหาการร้องเรียนเกี่ยวกับโรงงานอุตสาหกรรมลักลอบปล่อยของเสีย จะลดน้อยลงไปเอง

               กระทรวงอุตสาหกรรมมีหน้าที่อย่างจริงจังในการส่งเสริมให้อุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม การกำกับดูแล และสนับสนุนการประกอบการอุตสาหกรรมที่ไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนส่งเสริมให้เอกชนทำธุรกิจโดยมีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีธรรมาภิบาล เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ต่อไปในอนาคต

                ตัวอย่างการดำเนินการส่งเสริมให้การประกอบการอุตสาหกรรมอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ได้แก่ การกำหนดมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคม มอก. 26000 (ISO 26000) ซึ่งเป็นมาตรฐานความรับผิดชอบขององค์กรที่มีต่อสังคม และได้จัดทำร่างคู่มือแนวทางปฏิบัติตาม มอก.26000 สำหรับอุตสาหกรรม 4 สาขา คือ สาขาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สาขาปูนซีเมนต์ เหล็ก คอนกรีต วัสดุก่อสร้าง สาขาเคมี ปิโตรเลียม/โพลิเมอร์ และสาขาอาหาร รวมทั้งจัดสัมมนาผู้ประกอบการให้มีความรู้ความเข้าใจในหลักการและแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                การกำหนดมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมสำหรับอุตสาหกรรมแร่และอุตสาหกรรมพื้นฐาน โดย กพร.ได้ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกำหนดมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแร่ เพื่อส่งเสริมพัฒนาให้สถานประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่มีมาตรฐานและความรับผิดชอบต่อสังคม

               สนับสนุนให้ผู้ประกอบการทุกขนาดดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำเกณฑ์มาตรฐานของกรมโรงงานว่าด้วยการแสดงความรับผิดชอบของผู้ประกอบการต่อสังคมไปปฏิบัติ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

               การดำเนินการส่งเสริมธรรมาภิบาลในภาคอุตสาหกรรม เช่น การรณรงค์และส่งเสริมการใช้ระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้สถานประกอบการและชุมชน มุ่งเน้นให้เกิดการทำงานแบบบูรณาการระหว่าง 3 ภาคส่วน คือ สอจ.ทั่วประเทศ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน

               การส่งเสริมการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังมลพิษสิ่งแวดล้อมจากสถานประกอบการ ด้วยการสร้างเครือข่ายให้สถาบันการศึกษา ทั้งนักเรียน นักศึกษา ครูอาจารย์ และชุมชนในท้องถิ่น โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณรอบโรงงาน ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง เข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังมลพิษจากโรงงานและร่วมรักษาสิ่งแวดล้อมในชุมชน นอกจากนี้ กนอ. ยังมีโครงการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในนิคมอุตสาหกรรม โดยสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมนิคมอุตสาหกรรมให้แก่ชุมชนรอบนิคมอย่างต่อเนื่อง

               ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึง งาน OIE Forum 2556 "อุตสาหกรรมยุคใหม่" ก้าวที่ท้าทายสู่อนาคต ที่จะจัดขึ้นว่า เป็นงานที่จะนำเสนอผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำปี 2556 ของ สศอ. รวมถึงรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และผู้ที่สนใจ เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เหมาะสม และเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย และนำเสนอสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศ ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรม ตลอดจนแนวทางในการปรับตัว

                "งานนี้ จะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 800 คน ทั้งผู้ประกอบการอุตสาหกรรม สมาคม นักวิชาการ หรือมูลนิธิต่างๆ ในภาคเอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และผู้สนใจทั่วไป ซึ่งประโยชน์ที่จะได้รับจากงานนี้ ผู้ร่วมงานจะได้มีส่วนร่วมในการบูรณาการแนวคิด ให้ข้อเสนอแนะ รวมทั้งได้รับทราบสถาการณ์ในปัจจุบัน ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศ และทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก"

                นอกจากนี้ ผู้ร่วมงานได้มองเห็นภาพของอุตสาหกรรมในอนาคตที่จะมุ่งเน้นในเรื่องสิ่งแวดล้อม นวัตกรรมและความยั่งยืน ทำให้ได้แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เหมาะสมกับสถานการณ์จริง และการพัฒนาเป็นไปอย่างถูกทิศทางและเกิดประโยชน์สูงสุดด้วย

               
..........................

(อุตสาหกรรมไทยในอนาคต ต้องเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) : คอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษ : ดร.วิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม  )