ไลฟ์สไตล์

ชีวิตช้าๆ ณ ปอดของคนกรุง

ชีวิตช้าๆ ณ ปอดของคนกรุง

03 ต.ค. 2556

ศิลปวัฒนธรรม : ชีวิตช้าๆ ณ ปอดของคนกรุง

 

                      เรามักมองข้ามสิ่งใกล้ตัว ด้วยรู้สึกว่าคุ้นเคยดีจนบางครั้ง (อาจ) ไม่เห็นคุณค่า...เหมือนอย่างที่หลายคน (เริ่ม) ลืมเลือนแหล่งเรียนรู้ทั้งด้านนิเวศวิทยาและเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็น "ปอดของคนกรุง" อย่าง "บางกระเจ้า" จ.สมุทรปราการ เพียงไม่กี่นาทีจากแผ่นดินใหญ่ ภายในเกาะกลางเมืองหน้าตาละม้าย "กระเพาะหมู" ซึ่งอัดแน่นไปด้วยสีเขียวและความชุ่มชื้นกำลังแต่งตัวรอรับการมาเยือนของผู้ชื่นชอบชีวิตช้าๆ กลมกลืนไปกับวิถีชาวบ้านอันเรียบง่ายชนิดไม่ต้องง้อ "ไวไฟ" ก็มีความสุขไม่ยาก...

                      และสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวใจของการเดินทางท่องเที่ยวให้ได้อรรถรสที่สุดเห็นจะเป็นการใช้แรงเท้าปั่นจักรยานพาตัวเข้าไปสัมผัสเรื่องราวต่างๆ ซึ่งหน่วยงานที่ให้ความสำคัญการท่องเที่ยวลักษณะนี้มากๆ ก็หนีไม่พ้นการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ล่าสุดจัดทริป "ปั่นจักรยาน เที่ยวบางกระเจ้า" หนึ่งในโครงการ "เลดี้...เจอร์นี่ โก กรีน" ชวนสาววัยทำงานพร้อมเพื่อนๆ ที่มีหัวใจสีเขียวไปท่องเที่ยวแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ค่อยๆ ซึมซับความงดงามของกระเพาะหมูแบบไม่รีบร้อน

                      เช้าตรู่ก่อนแดดแรงจะเลียผิวให้เสียอารมณ์ คาราวานจักรยานกลุ่มใหญ่นัดรวมพลกันที่ "บ้านธูปสมุนไพร" แล้วปั่นลัดเลาะไปตามทางคอนกรีตยกพื้นสำหรับสองล้อและสองเท้า นอกจากอากาศจะสดชื่นแล้ววิถีชุมชนบางน้ำผึ้งตลอดสองข้างทางยังโอบล้อมไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด เป็นโรงงานผลิตออกซิเจนชั้นดีของคนที่นี่แล้วเผื่อแผ่ไปสู่ชาวเมืองหลวง ชีวิตช้าๆ ของชาวชุมชนมีมาตั้งแต่สมัย ร.4-ร.5 สังเกตได้จากเรือนไทยสภาพเดิมๆ ที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางความร่มรื่น ซึ่งรู้จักกันดีในชื่อ "เรือนไทยครูมะลิ" ผลผลิตทางวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมายาวนานร่วม 100 ปี โดย ครูมะลิ พูนสวัสดิ์ ข้าราชการวัยเกษียณ ที่ตอนนี้อายุ 72 ปี เล่าว่า เรือนหลังนี้เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่สมัยคุณยายทวดซึ่งมีชีวิตอยู่ถึง 5 แผ่นดิน เมื่อลูกหลานแต่งงานก็จะยกเรือนหรือที่ดินให้ไปเป็นทุนเริ่มชีวิตใหม่

                      ปัจจุบันเรือนไทยฝาลูกปะกนไร้ตะปูยึดหลังนี้ไม่มีคนอยู่อาศัยแล้วเพราะลูกหลานแยกตัวไปปลูกบ้านใหม่ จึงปรับเป็นเรือนรับแขกและแหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรม รวมถึงเรือนพักแบบโฮมสเตย์สำหรับใครที่อยากใช้ชีวิตเรียบง่าย พอเพียง โดยมีกิจกรรมไทยๆ ที่น่าสนใจไว้ให้เรียนรู้ อาทิ การตัดพวงมะโหตร ตีกลองยาว การแปรรูปฟักข้าว หรือชวนตักบาตรตอนเช้า

                      "เราพยายามฟื้นฟูของเดิมให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ บ่อยครั้งที่มีนักศึกษา นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาพัก และทำวิจัยวิถีชุมชนเชิงอนุรักษ์ กลายเป็นองค์ความรู้ใหม่ของชาวบ้าน ซึ่งทุกวันนี้แม้ว่าชุมชนจะค่อยๆ เปลี่ยนจากวิถีเกษตรมาเป็นโฮมสเตย์ มีเรื่องธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ส่วนใหญ่ยังคงยึดวิถีพอเพียง ปลูกผักผลไม้ไว้กินเอง เหลือกินก็นำไปขายที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง หรือทำให้มีรายได้เลี้ยงตัวในยุคที่มีการแข่งขัน" ประธานโฮมสเตย์วิสาหกิจชุมชนบางน้ำผึ้ง เล่าถึงการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยแต่ยังคงวิถีอนุรักษ์ให้ฟัง

                      อีกวิถีไทยที่เปรียบเสมือนกาวชั้นดีช่วยยึดให้คนในชุมชนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันคือ ความใกล้ชิดระหว่างบ้านและวัด อย่าง "วัดโปรดเกศเชษฐาราม" พระอารามหลวงชั้นตรี วัดพุทธไทยเพียงวัดเดียวในย่านพระประแดง เพราะวัดอื่นๆ มักเป็นวัดพุทธรามัญ วัดนี้พระยาเพชรพิไชย (เกตุ) ได้สร้างขึ้นในสมัย ร.2 ราวปี 2365 นอกจากจะมีพระประธานปางมารวิชัยหล่อด้วยโลหะ ยังมีพระพุทธไสยาสน์หรือพระนอนที่มีพระพักตร์งดงาม ว่ากันว่าเป็นต้นแบบพระนอนของวัดโพธิ์และองค์อื่นๆ ในยุครัตนโกสินทร์

                      ภายในวัดยังมีพระอุโบสถสถาปัตยกรรมแบบเก๋งจีน ไม่มีช่อฟ้าใบระกา หน้าบันมีศิลปะปูนปั้นลายเครือเถาประดับเครื่องลายคราม ถือเป็นโบสถ์เป็นแห่งเดียวในประเทศที่รวมศิลปะ 3 ชาติไว้ คือไทย จีน และฝรั่ง โดยเฉพาะศิลปะฝรั่งจะเด่นชัดอยู่ที่ซุ้มเรือนแก้วของพระประธานที่สร้างแบบฝรั่ง นอกจากนี้ยังมีซุ้มจระนำ 35 ซุ้มอันหมายถึงพระพุทธองค์ตรัสรู้เมื่ออายุ 35 พรรษา แต่ละซุ้มมีภาพวาดภิกษุณีประดับ มีเรื่องเล่าว่าในสมัย ร.4 ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางพระพุทธศาสนาครั้งใหญ่ ทรงไม่โปรดภิกษุณีจึงมีการโบกปูนทับซุ้มไว้บางๆ ซึ่งภาพวาดเพิ่งถูกค้นพบเมื่อครั้งบูรณะพระอุโบสถเมื่อไม่นานมานี้

                      นอกจากนี้ ยังมีภาพจิตรกรรมต้นแบบ 1 ใน 5 ภาพของขรัวอินโข่ง จิตรกรเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่ได้รับพระราชทานมาติดตั้งไว้เหนือประตูทางเข้าพระอุโบสถ ในภาพเล่าเรื่องชาวตะวันตกในสยาม ซึ่งทำให้รู้ว่าเมืองพระประแดงหรือ "เมืองบาแดง" แต่เดิมมีแหลมชื่อ "นิวอาร์มสเตอร์ดัม" อยู่ และขรัวอินโข่งก็ถ่ายทอดหลักฐานนั้นอยู่ในภาพนี้เอง

                      เส้นทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตช้าๆ ในดินแดนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นปอดของคนกรุงยังมีอีกมากให้ศึกษา ว่างเมื่อไรไปได้เมื่อนั้น...