
เตรียมจดสิทธิบัตร'พลุสาร'ร่วมทอ.
ทำมาหากิน : เตรียมจดสิทธิบัตร 'พลุสาร' ร่วมทอ. สุดยอดผลวิจัยปฏิบัติการ 'ฝนหลวง' : โดย...สุรตน์ อัตตะ
เทคโนโลยี “ฝนหลวง” มีวิวัฒนาการมาอย่างยาวนาน นับแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกิดประกายความคิดว่า “ทำอย่างไรจะรวมเมฆให้เกิดเป็นฝนลงสู่พื้นที่แห้งแล้ง” เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2498 ในระหว่างที่เสด็จฯ เยือน 15 จังหวัดในภาคอีสาน จากนั้นมาเป็นจุดเริ่มต้นในการค้นคว้าวิจัยโครงการฝนหลวง เป็นเทคโนโลยีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประดิษฐ์คิดค้นและพัฒนาขึ้นมา และพระราชทานใช้เป็นเทคโนโลยีในการดัดแปลงสภาพอากาศให้เกิดฝนจากเมฆอุ่น และเมฆเย็นโดยการใช้สารฝนหลวงที่ดูดซับความชื้นได้ดี(Hygroscopic Flare) เป็นตัวเร่งเร้าทั้งในบรรยากาศหรือเมฆที่มีอุณหภูมิสูงกว่าและต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ซึ่งทำให้กระบวนการเกิดฝนเร็วขึ้นและชักนำฝนให้ตกลงสู่พื้นที่เป้าหมายที่กำหนดได้อย่างแม่นยำและแผ่อาณาเขตครอบคลุมเป็นบริเวณกว้าง
จากผลสำเร็จดังกล่าวได้มีการยื่นขอสิทธิบัตรต่อสำนักงานสิทธิบัตรยุโรปเมื่อปี 2546 และด้วยพระราชกระแสที่ว่า “การพัฒนาไม่มีที่สิ้นสุดต้องพัฒนาให้ก้าวหน้าสืบไป” จากพระราชกระแสดังกล่าว กรมฝนหลวงจึงได้นำเป็นแนวทางการค้นคว้าวิจัย “พลุสาร” ดูดความชื้นขึ้นมา โดยร่วมกับศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศและศูนย์วิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการบินและอวกาศ กองทัพอากาศเพื่อเสริมการปฏิบัติการฝนหลวงเมฆอุ่น
วราวุธ ขันติยานันท์ รองอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังการติดตามการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อเติมน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและปฏิบัติการทดสอบการใช้พลุสารดูดความชื้นเพื่อเสริมการปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์และเชียงใหม่ว่า ในการดำเนินงานบินทดสอบโครงการวิจัยและพัฒนาพลุสารดูดความชื้นนั้น ได้มีการพัฒนาพลุสารดูดความชื้นขึ้น 2 ชนิด คือ “แคลเซียมคอลไรด์”และ “โซเดียมคลอไรด์” เพื่อทำฝนเมฆอุ่นตั้งแต่ปี 2547 จากนั้นในปี 2548-2550 ได้ร่วมกันทดสอบพลุสารดูดความชื้นทำเมฆอุ่นด้วยเครื่องบินโจมธุรการแบบที่ 2 ของกองทัพอากาศ ซึ่งผลทดสอบสามารถใช้ทำฝนเมฆอุ่นได้เช่นเดียวกับต่างประเทศ
"เป้าหมายการวิจัยก็เพื่อต้องการพัฒนาสูตรพลุดูดความชื้นที่เหมาะสมกับการใช้งานในประเทศไทยให้เป็นสูตรใหม่ที่สามารถจดสิทธิบัตรได้ ตลอดจนเพื่อพัฒนาอุปกรณ์พลุสารดูดความชื้นสำหรับใช้งานกับเครื่องบินและทดลองประสิทธิภาพการดัดแปรสภาพอากาศของพลุสารดูดความชื้นที่พัฒนาขึ้นโดยทดลองใช้ในการสลายหมอกและการทำฝน"
วราวุธเผยอีกว่า หลังจากที่กรมฝนหลวงได้ร่วมมือกับศูนย์วิจัยและพัฒนาอาวุธของกองทัพอากาศ มาตั้งแต่ปี 2546 รวมระยะเวลา 10 ปี ซึ่งจากผลการวิจัยและทดสอบที่ผ่านมา สามารถสรุปได้ว่าหลังการใช้พลุสารมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือ เม็ดน้ำขนาดเล็กมีขนาดใหญ่ขึ้นถึง 49% จนกระทั่งกลายเป็นเม็ดฝนที่ระดับฐานเมฆ และช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดน้ำที่ฐานเมฆ ทำให้ปริมาณความหนาแน่นของเม็ดน้ำเพิ่มขึ้น
“ในการปฏิบัติการภารกิจฝนหลวงแต่ละครั้งจะมีการถวายรายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านกองราชเลขาทุกวัน และทำรายงานทุกสัปดาห์และมีหนังสือตอบกลับมาทุกครั้ง นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง มีพระราชวินิจฉัยก็ต่อเมื่อเกิดภาวะภัยแล้ง หากเสร็จสิ้นงานในครั้งนี้จะมีหนังสือถวายรายงานความคืบหน้าในการใช้พลุสารแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าทรงวินิจฉัยที่จะให้สารนี้ต่อไปอย่างไรอีกด้วย” วราวุธ กล่าว
วราวุธย้ำด้วยว่า สำหรับโครงการวิจัยดังกล่าวขณะนี้ได้ก้าวหน้าไปมาก สามารถวิจัยพลุที่ใช้ในราชการทหารนำมาพัฒนาและวิจัยจนสามารถผลิตออกมาเป็นพลุสารฝนหลวงได้เป็นผลสำเร็จ และการันตีได้ว่าเป็นสูตรที่ไม่เหมือนกับต่างประเทศที่ใช้กัน สูตรที่วิจัยได้จะมีประสิทธิภาพที่สูงกว่าและถือเป็นเทคนิคพิเศษ และเตรียมที่ทำการจดสิทธิบัตรร่วมกับกองทัพอากาศในเร็วๆ นี้
นับเป็นความสำเร็จอีกขั้นในการใช้ “พลุสาร” ดูดความชื้นเพื่อเสริมการปฏิบัติการ “ฝนหลวงเมฆอุ่น”เป็นผลงานวิจัยต่อยอดจากการทำฝนหลวงที่พระองค์ทรงได้คิดค้น นับเป็นนวัตกรรมใหม่ของไทยที่สามารถผลิตขึ้นใช้เองได้ ถือเป็นมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่หาที่สุดมิได้ อันเปี่ยมด้วยพระเมตตาและน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยต่อปัญหาทุกข์ยากและเดือดร้อนของราษฎรของพระองค์
------------------------
(ทำมาหากิน : เตรียมจดสิทธิบัตร 'พลุสาร' ร่วมทอ. สุดยอดผลวิจัยปฏิบัติการ 'ฝนหลวง' : โดย...สุรตน์ อัตตะ)



