ไลฟ์สไตล์

วันสุนทรภู่-วันภาษาไทย

วันสุนทรภู่-วันภาษาไทย

11 ส.ค. 2556

วันสุนทรภู่-วันภาษาไทย : คอลัมน์ หนังสือที่เธอถือมา โดย...ไพวรินทร์ ขาวงาม

          แทบจะทุกปีก็ว่าได้  ที่เมื่อถึงวันสุนทรภู่ ในเดือนมิถุนายน และวันภาษาไทย ในเดือนกรกฎาคม  ผมจะต้องได้รับงานไปบรรยายตามโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย
 
          ชีวิตก็มาแบบไม่รู้ตัวดอกครับ  จากเด็กเลี้ยงควายกลางท้องนา  ครวญเพลงลูกทุ่งตามวิทยุทรานซิสเตอร์ถ่านไฟฉายตรากบ  อยู่ๆ ต้องมาเกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษา  นักเรียน นักศึกษา  ครูบาอาจารย์สายสาระเรียนรู้วิชาภาษาไทย  ในวันที่เกี่ยวกับกวีเอกของไทย  ในวันที่เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย
 
          บางที ต้องพูดเล่นๆ ว่า  ใครอยากเชิญผมไปร่วมกิจกรรมในวันสำคัญสองวันดังกล่าวนี้  ต้องติดต่อผมล่วงหน้าเป็นปี  หรือหลายเดือน  จะได้รับการตอบรับก่อน  ตามนิสัยขี้เกรงใจของผมเอง  ถ้าเพิ่งมาติดต่อเมื่อถึงเดือนแล้ว  รับรองไม่ว่าง...
 
          วันสุนทรภู่ และวันภาษาไทย  บางทีก็ไม่ได้จัดตรงกับวันจริง  ขึ้นอยู่กับความพร้อม... 
 
          วันสุนทรภู่ปีนี้ผมได้ไปถึงระยอง  ถือว่าไปร่วมกิจกรรมในร้านหนังสือชื่อ ‘ร้านสุนทรภู่’ และได้เที่ยวแรมนิราศเล่นไปในตัว 
ส่วนวันภาษาไทย  ได้ไปที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม โดยทางอธิการบดี รศ. สมชาย  วงศ์เกษม  และ คณบดีคณะครุศาสตร์ รศ. ดร. สุรวาท  ทองบุ  รวมทั้งสาขาวิชาภาษาไทย ผศ. สุทัศน์  วงศ์กระบากถาวร  ได้จัดพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณผู้มีคุณูปการด้านภาษาและวรรณกรรมไทย ในวาระวันภาษาไทยแห่งชาติ  ให้แก่ รศ.ดร.บุญยงค์ เกศเทศ. ผศ.ดร.ธัญญา สังขพันธานนท์ (ไพฑูรย์  ธัญญา), สลา คุณวุฒิ, ปรีดา ข้าวบ่อ, ทองแถม นาถจำนง, ร่มใจ สาวิกันต์ (นิด ลายสือ), ปริพนธ์ วัฒนขำ (ไฝ สันติภาพ), ทนง โคตรชมภู และตัวผม ไพวรินทร์  ขาวงาม
 
          วันที่ ๓๐ กรกฎาคม  หลังวันภาษาไทย  คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ เชิญผมไปพุดเรื่อง ‘สุนทรียภาพใน ม้าก้านกล้วย’  ร่วมกับ ดร. แก้วตา  จันทรานุสรณ์  อาจารย์และนักวิชาการวรรณกรรมจาก คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  มหาวิทยาลัยขอนแก่น  เป็นบรรยากาศการพูดคุยที่แปลกอีกแบบ  คือผู้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง  และผู้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง  มาพูดกันทั้งในเชิงที่มาที่ไป  แรงบันดาลใจ  และการวิเคราะห์วิจารณ์  ต่อหน้าผู้ฟังซึ่งเป็นนักศึกษาหลายร้อยคน  และทั้งหมดอายุพอๆ กับตัวหนังสือ ‘ม้าก้านกล้วย’  ที่พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๓๘  ถึงปีนี้ก็ร่วม ๑๘ ปีแล้ว 
 
          ตอนแรก  เกรงอยู่ว่านักศึกษายุคโซเชี่ยลมีเดียเฟซบุ๊กยุคสมัยนี้  จะรู้เรื่องม้าที่ทำจากก้านกล้วยในสังคมเกษตรละหรือ  ครั้นพูดไปพูดมาเขาก็สนใจใคร่รู้ไม่น้อยเหมือนกัน  อาจเป็นเพราะพวกเขาต่างก็เป็นลูกหลานชาวไร่ชาวนา
 
          การพูดเรื่องหนังสือเชิงเจาะจงเล่มเช่นนี้  ได้มีโอกาสชนิดไปเดี่ยวมาเดี่ยวหลายครั้ง  รู้สึกเต็มอิ่มทั้งผู้พูดผู้ฟัง  มากกว่าการไปพูดร่วมวิทยากรแบบพระนั่งอันดับ ๕-๖ คน  พูดกันได้คนละ ๑๕ นาที  
 
          เมื่อปีที่แล้ว  โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี  กรุงเทพฯ  ซึ่งเป็นโรงเรียนลูกหลานคนมีฐานะในเมืองใหญ่  เชิญผมไปพูดเรื่อง ‘ม้าก้านกล้วย’ โดยเฉพาะ  โดยให้นักเรียนที่เรียนภาษาไทยได้อ่านตัวบทล่วงหน้า  ทำการบ้าน  วิเคราะห์วิจารณ์  ตั้งคำถาม  เมื่อผู้เขียนพูดจบ  พวกเขาก็ตั้งคำถามชวนพูดคุยอย่างได้อรรถรส  แม้ต่างบุคคล  ต่างเวลา  และสถานที่  ก็ดูจะเชื่อมโยงกันได้ด้วยสายวรรณศิลป์และชีวิต  เด็กรุ่นลูกรุ่นหลานในเมืองก็จินตนาการตามตัวบท  และพูดถึงบางภาพในชนบทได้ด้วย  บางคนถามเรื่องวัฒนธรรมชาวไร่ชาวนา  บางคนถามถึงเรื่องการบ้านการเมืองในปัจจุบัน
 
          การเรียนการสอนวรรณกรรมอย่างได้ผล  ก็น่าจะทำกันอย่างนี้  คือเลือกหนังสือให้ผุ้เรียนอ่านตัวบท  ตีความทำความเข้าใจตัวบทแล้ว  ค่อยจัดหาโอกาสให้ได้พบพูดคุยกับตัวผู้สร้างวรรณกรรมตามสมควร 
 
          ที่พูดถึงหนังสือตัวเอง  ก็เป็นเพียงตัวอย่างประสบการณ์ชีวิต  ที่อยู่ๆ วันหนึ่งลูกหลานชาวไร่ชาวนาคนหนึ่งก็ได้มีโอกาสวาสนาเดินเข้าออกสถานศึกษา  ว่าด้วยเรื่องบทกวี  และภาษาไทย
 ‘
          ...ด้วยมือพ่อต่อเติมปรารถนา  ตัดก้านกล้วยทำม้าให้ข้าขี่...’ 
 
          พลันคิดถึงบางวรรคกลอนในหนังสือเล่มนั้น!