
พิพิธภัณฑ์หมอลำ:หัวใจอีกห้องของอีสาน
พิพิธภัณฑ์หมอลำ : หัวใจอีกห้องของอีสาน : คอลัมน์คุยนอกกรอบ : โดย...สินีพร มฤคพิทักษ์
คราวที่ไปเยี่ยมชมฟาร์มจิมทอมป์สัน ปลายปี 2555 สิ่งหนึ่งที่แปลกตาคือมีนิทรรศการเล็กๆ เกี่ยวกับ "หมอลำ" จัดแสดงไว้ที่ศาลากลางน้ำ ทั้งยังมีการจัดแถลงข่าวประกวดหมอลำระดับมัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ซึ่งทีมงานจิมฯ เกริ่นให้ฟังว่าบริษัทมีโครงการจะจัดทำพิพิธภัณฑ์หมอลำ
ผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว "คม ชัด ลึก" จึงขอชวนไปอัพเดทกับโครงการดังกล่าว
กฤติยา กาวีวงศ์ ผู้อำนวยการหอศิลป์ บ้านจิม ทอมป์สัน เล่าถึงความเป็นมาว่า ปี 2555 ผู้บริหารจิม ทอมป์สัน ไปรับรางวัลจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งให้กับองค์กรหรือบุคคลที่อนุรักษ์วัฒนธรรมอีสาน และได้พูดคุยกับผู้ใหญ่ของกระทรวงวัฒนธรรมและมหาวิทยาลัยขอนแก่นทราบว่า มีดำริจะทำพิพิธภัณฑ์หมอลำแต่ติดขัดที่งบประมาณ ผู้บริหารจิมฯ และ คุณชุติมา ดำสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แบรนด์ "จิม ทอมป์สัน" จึงอาสาว่าขอทำต่อได้ไหม เพราะมีโปรแกรมระยะยาวว่าต้องการอนุรักษ์วัฒนธรรมอีสาน ไม่ว่าจะเป็นด้านใด
นั่นเป็นที่มาของการจัดประกวดหมอลำในกลุ่มเยาวชน ขณะเดียวกันได้เริ่มเก็บข้อมูลเพื่อทำวิจัยเบื้องต้น
หมอลำ เป็นศิลปะการแสดงที่ชาวอีสานคุ้นเคย มีหน้าที่หลักด้านการสร้างความบันเทิงให้ผู้คน รวมทั้งเป็นสื่อในการเผยแพร่ศิลปะการแสดงที่เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ที่สะท้อนวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละท้องถิ่นผ่านดนตรีและกลอนลำ ส่วนคนภาคอื่นอาจรู้จักหรือผ่านตา จากการชมทางโทรทัศน์หรือสื่ออื่นๆ
แม้หมอลำจะอยู่คู่กับสังคมไทยมายาวนาน ทว่า กลับยังไม่มีแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ดังกล่าวอย่างเป็นระบบ
รายงานการวิจัยของทีมงานจิมฯ กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้หมอลำสามารถดำรงอยู่ และมีบทบาทในทุกยุคทุกสมัยในบริบทที่แตกต่างกันไปคือ ความสามารถในการปรับตัวให้มีความร่วมสมัย เนื่องด้วยหมอลำมีโครงสร้างการแสดงที่ไหลลื่น สามารถยอมรับปรับเปลี่ยนและสามารถนำวัฒนธรรมที่แตกต่างมาปรับประยุกต์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงได้เสมอ โดยสามารถจำแนกได้หลายรูปแบบ อาทิ ตามช่วงเวลา ลักษณะพื้นที่ หรือตามลักษณะการร้อง ในที่นี้ได้จำแนกตามหน้าที่ของการแสดงของหมอลำ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ
1. หมอลำที่มีหน้าที่ด้านพิธีกรรม หรือหมอลำผีฟ้า 2.หมอลำที่มีหน้าที่เพื่อความบันเทิง ประกอบด้วย หมอลำพื้น เป็นรูปแบบการแสดงที่มีความเก่าแก่ที่สุด กำเนิดขึ้นจาการเลียนแบบการอ่านหนังสือของพระสงฆ์ มีทำนองการลำคล้ายกับการเทศน์ของพระ เรื่องราวที่นิยมร้องได้แก่ วรรณคดีพื้นบ้านอีสาน ประวัติ และชาดก โดยผู้แสดงจะพาดผ้าขาวม้าในลักษณะต่างๆ เพื่อบ่งบอกความแตกต่างของตัวละครแต่ละตัว ปัจจุบันหมอลำพื้นไม่ได้รับความนิยม เนื่องจากผู้ชมหันไปสนใจหมอลำประเภทอื่นที่มีความสนุกสนานกว่าหมอลำกลอน เป็นรูปแบบการแสดงที่พัฒนามาจากหมอลำพื้น ซึ่งเป็นหมอลำในยุคเริ่มแรกที่มีการลำเรื่องวรรณคดีพื้นบ้านอีสาน เป็นการร้องโต้ตอบระหว่างหญิงและชายคลอกับเสียงบรรเลงของแคน เป็นการลำที่แสดงถึงปฏิภาณไหวพริบของหมอลำ หมอลำกลอนถือว่าเป็นการลำที่ต้องใช้ความสามารถส่วนตัวของผู้แสดงเป็นอย่างมาก หมอลำกลอนในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันในเรื่องทำนองการร้อง แบ่งออกเป็น 5 รูปแบบ ได้แก่ วาส (ทำนอง) ขอนแก่น, วาสอุบลฯ, วาสพุทไธสง, วาสภูเขียว และวาสภูเวียง ปัจจุบันยังพบเห็นพัฒนาการของหมอลำกลอนที่มีการประยุกต์ให้ร่วมสมัยมากยิ่งขึ้นอย่างเช่นหมอลำซิ่ง
หมอลำผญา มีลักษณะเด่นอยู่ที่เนื้อหาการลำ คือนำคำผญาหรือปรัชญาอีสานมาขับเป็นเรื่องราวต่างๆ มีทั้งการแสดงกลอนสดและกลอนแห้ง (กลอนที่มีการแต่งแต่เดิม) เนื้อหาของหมอลำผญาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ เนื้อหาเชิงชู้สาว และเนื้อหาในเชิงการศึกษา หมอลำเรื่องต่อกลอน หมอลำหมู่ หรือหมอลำเรื่อง มีพัฒนาการมาจากหมอลำพื้น สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากการแสดงลิเกในภาคกลาง หรือที่เรียกว่า "ลิเกลาว" เป็นหมอลำที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประยุกต์นำวัฒนธรรมอื่นเข้ามาใช้ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ยังสามารถจำแนกประเภทของหมอลำเรื่องต่อกลอนตามทำนองการลำได้เป็นอีก 5 ประเภท ได้แก่ ทำนองขอนแก่น, ทำนองอุบลฯ, ทำนองสารคาม, ทำนองกาฬสินธุ์ และทำนองบัวบานครึ่ง หมอลำเพลิน ได้รับการประยุกต์ขึ้นจากจังหวะและทำนองของการรำวง มีพัฒนาการมาจากหมอลำเรื่องต่อกลอน โดยเพิ่มเครื่องดนตรีประเภทพิณ ฉาบเล็ก และโทน บรรเลงร่วมกับแคน เพื่อให้จังหวะมีความชัดเจนเหมาะกับการดำเนินเรื่องให้กระชับและรวดเร็ว นิยมใช้แสดงในงานรื่นเริงที่เน้นการดึงดูดความสนใจจากผู้ชมเป็นหลัก เช่น งานบุญประจำปี เป็นต้น หมอลำกลุ่มชาติพันธุ์ มีรูปแบบการร้องการลำซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างจากหมอลำประเภทอื่นๆ เช่น หมอลำพวน หรือหมอลำภูไท เป็นต้น
กฤติยา ซึ่งได้รับมอบหมายจากบริษัทให้ดูแลโครงการดังกล่าว กรณีที่ว่าถ้าจะจัดทำพิพิธภัณฑ์ มีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร โดยในการทำงานครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 เฟส คือ วิจัยและพัฒนา ศึกษาความเป็นไปได้ และลงมือจัดตั้งพิพิธภัณฑ์
เฟสแรก-การวิจัยและพัฒนา เพื่อรวบรวมองค์ความรู้จากศิลปินหมอลำทั่วเมืองไทย ร่วมกับทีมหมอลำและนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง โดยส่งทีมวิจัยไปคุยตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งระบุว่ามีผู้รู้และทำฐานข้อมูลขึ้นมาเพื่อรองรับการทำพิพิธภัณฑ์ รวมทั้งสร้างเวทีเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วย
"เราให้โจทย์ว่าทุกอย่างต้องสัมพันธ์กับกระบวนการความเคลื่อนไหวทางสังคม การเมือง วัฒนธรรม หมอลำในบางยุค เช่น ยุคสงครามเย็น ถูกจ้างให้เป็นเพื่อโฆษณาชวนเชื่อ บางคนมีชีวิตอยู่และเล่าให้ฟัง ซึ่งอยู่ในหัวข้อบทบาทและคุณค่าทางสังคม ศาสนาความเชื่อ"
เฟสนี้มีระยะเวลาในการทำงานตั้งแต่ต้นปีถึงปลายปี 2556 หลังจากนั้นให้นักวิจัยสรุปประเด็นที่ได้จากการลงภาคสนาม ประมาณปลายเดือนตุลาคมจะเชิญผู้รู้ นักวิชาการ ศิลปินหมอลำหมอแคน มาร่วมสัมมนาแบบปิด ให้ทุกคนแลกเปลี่ยนความรู้ เสนอความคิดเห็นว่าหากจะทำพิพิธภัณฑ์ควรมีอะไรบ้าง
เฟสสอง-ศึกษาความเป็นไปได้ ถ้ามีเนื้อหาสาระแบบนี้แล้วควรต้องมีอะไรอีก ต้องสร้างตึกใหม่หรือไม่ โดยบริษัทให้เวลาดำเนินการห้าปี ตอนนี้อยู่ในช่วงเก็บข้อมูล ซึ่งเก็บจากเอกสารและสัมภาษณ์บุคคล
ถามว่าภาพร่างของพิพิธภัณฑ์เป็นอย่างไร กฤติยาตอบว่าตามที่เคยทำพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ ต้องมีคอลเลกชั่น มาดีไซน์ว่าควรมีคอลเลกชั่นอะไรบ้าง เช่น เครื่องดนตรี หรือประเภทของหมอลำ
"ในช่วงแรกหลังจากเซอร์เวย์แล้ว เราอยากลงรายละเอียดว่าแต่ละยุค แต่ละช่วงเขาพูดถึงอะไร เจาะลึกแต่ละประเด็น การออกแบบคอนเทนต์ว่าพูดถึงเนื้อหาอะไร ซึ่งจะมีสองส่วนคือ หนึ่ง-คอลเลกชั่นที่ต้องมีตลอด สอง-นิทรรศการหมุนเวียน ต้องดึงออกมาว่าจะเน้นอะไร ในแต่ละครั้งที่สับเปลี่ยนกัน มันต้องมีธีม"
ทีมงานวิจัยมีทั้งหมดห้าคน ซึ่งมีความโดดเด่นหลายด้าน ทั้งเนื้อหา ดนตรีไทย แคน และการทำวิจัย เธอบอกว่าเป็นทีมวิจัยที่มีความสมบูรณ์มาก
นักวิจัยคนหนึ่งเรียนจบด้านดุริยางคศิลป์จากมหาวิทยาลัยมหิดล และมาศึกษาต่อปริญญาโทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้านแคน
"น้องที่เรียนปริญญาโทด้านแคน รู้จักหมอแคน หมอลำรุ่นเก่าหลายท่าน ซึ่งเราต้องไปหาคนเหล่านี้ น้องบอกว่าต้องไปหาหมอลำคนนี้ซึ่งเป็นลูกศิษย์หมอลำคนๆ แรกของที่นี่ บางคราวเราให้นักวิจัยอีกคนโทรซึ่งเป็นคนไทยโทรติดต่อ เขาก็ไม่ให้ความร่วมมือเท่าไร แต่พอเป็นน้องคนนี้หมอลำ หมอแคน เหมือนเปิดประตูให้คุยเลย เราโชคดีมากที่ได้ เวลาที่น้องไปสัมภาษณ์ อย่างพ่อเคน ดาเหลา ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หมอลำ) ประจำปี 2543 หรือแม่ครูราตรี ศรีวิไล ทุกคนบอกมาเป็นลูกศิษย์ไหม มีอะไรจะสอนให้เป็นหมด คือน้องเป็นคนอีสาน และเป่าแคนเก่ง ไปไหนก็แจมกับเขาได้"
คาดว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จะเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับหมอลำอย่างสมบูรณ์แบบ?
กฤติยาออกตัวว่าไม่อยากให้พูดเช่นนั้น น่าจะเป็นการช่วยกันทำงานมากกว่า
"เราหลีกห่างจากความเป็นศูนย์กลางหรือศูนย์ข้อมูล มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เวลาไปคุยกับหมอแคน นักวิชาการ เขาบอกทำไมจิมฯ มาเอาหัวใจของอีสานไปทำอีกแล้ว ก็ดีใจที่เขาถามแบบนี้นะคะ เราบอกเมื่อเอาหัวใจห้องหนึ่งของอีสานมาซึ่งเป็นผ้าไหม อีกห้องเราก็ขอไปเติมเต็มให้ได้ไหม"
"ที่บอกว่ามาเอาหัวใจอีสาน คำพูดนี้มาจากนักวิชาการ แต่อาจารย์หมอลำ เขาได้ยินก็ดีใจ คือมีคนบอกว่าจะทำพิพิธภัณฑ์ตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่เห็น อีกอย่างคืออาจคล้ายๆ วงการศิลปะหรือวงการอื่นก็ได้ พอคนอยู่ในวงการนั้นจะไปทำ มันมีค่าย แต่เราเป็นคนนอกไม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในวงการนั้น ความเป็นกลางๆ น่าจะเป็นข้อดีของเรา ทำให้ขอความร่วมมือจากทุกคนได้ ทั้งเอกชน รัฐบาล หรือพ่อครู แม่ครูหมอลำ"
"เราอยากใช้พื้นที่ตรงฟาร์ม ให้ทุกคนได้มาทำงานร่วมกัน แลกเปลี่ยนพบเจอกันและไปต่อ ปัญหาของหมอลำก็เหมือนกับศิลปะอีกหลายประเภทคือ เราไม่ค่อยมีพื้นที่ตรงกลางให้คนมาแลกเปลี่ยนข้อมูล เป็นเครือข่ายกัน และพัฒนาต่อไป เรามองว่าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ที่จะทำ เป็นแบบนั้นมากกว่า ไม่ใช่ให้เป็นศูนย์กลางเก็บข้อมูลไว้คนเดียวให้ทุกคนต้องมาหา หน้าที่ของเราคือเป็นแพลทฟอร์มให้ชุมชนเจอกัน เป็นฮับ เป็นแฟซิลิเตเตอร์ ให้คนมาแลกเปลี่ยนความรู้ และทำงานด้วยกันต่อ"
หลังจากที่จิม ทอมป์สัน จัดประกวดหมอลำในหมู่เยาวชน ดูเหมือนว่าจะทำให้วงการคึกคักขึ้น เพราะหลังจากนั้นมีการจัดประกวดอีกหลายเวที
"ปีนี้มีประกวดเยอะมาก เราก็สงสัย ปกติไม่ค่อยมีเวทีประกวดระดับมัธยม พอเด็กพบเราก็ถามว่าเมื่อไรจิมฯ จะจัดประกวดอีกอยากให้จัด ถามว่าทำไม น้องๆ ตอบว่า เพราะได้ไปเมืองนอก คือมันได้เปิดโลกทัศน์... ตอนที่เราจัดประกวดหมอลำ ระดับมัธยม และมหาวิทยาลัย ปรากฏว่าเด็กมัธยมฯ ขยันมาก ไปทำงานกับหมอลำชาวบ้าน หมอแคน นับเป็นการสานต่อทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ เหมือนกับชาวบ้านได้ทำงานร่วมกับโรงเรียน ร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรม ตรงนี้คิดว่ายังอยู่...เด็กๆ นักศึกษา รู้สึกว่ามีเวทีเพิ่มมากขึ้น ให้เขาต่อยอดได้ บางคนพัฒนาเป็นอาชีพได้เลย
คำถามสุดท้าย ทำไมต้องทำพิพิธภัณฑ์หมอลำ? กฤติยาตอบว่า
หมอลำเป็นองค์วิชาความรู้อย่างหนึ่ง ทำให้เราเรียนรู้สังคมและวัฒนธรรมได้ การแสดงหมอลำไม่ใช่แค่อนุรักษ์วิชา ความรู้ แต่ยังอธิบายความหมายและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในวงชาวบ้านซึ่งเป็นมูลชั้นต้นอย่างดี ตัวอย่างเช่น
"ช่วงที่ไทยกำลังเปลี่ยนเป็นเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ คนร้องหมอลำถามว่าอยากกินผักแพวหรือผักกะเพรา เหมือนตั้งคำถามกับคนอีสานว่า จะอนุรักษ์วัฒนธรรมอีกสาน หรือไปเป็นคนไทย ถ้าเราไม่เข้าใจมันก็ฟังผ่านๆ ทั้งที่ความจริงแล้วทุกอย่างเหมือนเป็นปริศนาธรรม"
ใครที่นิยมชมชอบหมอลำ และอยากเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์คงต้องอดใจรอสักหน่อย เพราะขณะนี้ยังอยู่ในเฟสแรก ยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่
แต่มาช้า ก็ดีกว่าไม่มา จริงไหม?
......................
( พิพิธภัณฑ์หมอลำ : หัวใจอีกห้องของอีสาน : คอลัมน์คุยนอกกรอบ : โดย...สินีพร มฤคพิทักษ์ )