ไลฟ์สไตล์

ความโง่เขลาเบาปัญญา

ความโง่เขลาเบาปัญญา

11 มิ.ย. 2552

สังคมไทยแต่โบราณ เป็นสังคมที่ประชาชนส่วนใหญ่อยู่ร่วมกันด้วยความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล มีปัญหาความทุกข์เดือดร้อน ก็ดูแลช่วยเหลือกัน มีกิจการใหญ่ หรือพิธีใหญ่ ก็สามัคคีพร้อมเพรียงกันช่วยกันทำ มีปัญหาก็ร่วมปรึกษาหารือ ตกลงกัน ด้วยความประนีประนอม ปรองดอง สมานฉันท

  ในสมัยก่อน ประชาชนไทยส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ ผู้มีจิตศรัทธาในพระรัตนตรัย ต่างเข้าวัดเข้าวาฟังเทศน์ฟังธรรมกันเสมอ ประชาชนมีศีลมีธรรมประจำใจกันมาก จึงปฏิบัติต่อกันด้วยดี แม้จะมีชนต่างชาติต่างศาสนามาอยู่ใกล้กัน หรืออยู่ร่วมกัน ก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ด้วยเมตตากรุณาธรรมต่อกัน ไม่มุ่งร้ายกัน

 สังคมไทยแต่โบราณ จึงเป็นสังคมที่มีแต่ความสงบสุข เพราะปฏิบัติต่อกันด้วยพรหมวิหารธรรม ถึงจะมีปัญหาข้อขัดแย้งกันบ้าง ก็เพียงส่วนน้อย ผู้ใหญ่หรือผู้นำชุมชนในท้องถิ่นก็พอจัดการประนีประนอมให้ระงับได้ ไม่ถึงกับขยายวงเขตรุนแรงใหญ่โตจนเกินเหตุ เหมือนเช่นที่กำลังเป็น และเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้

 ส่วนสังคมในยุคปัจจุบันนี้ เป็นสังคมที่การประกอบกิจการงานอาชีพเต็มไปด้วยการแข่งขันกันสูง ประชาชนส่วนมากสาละวนอยู่กับการงานในอาชีพ จึงห่างวัดห่างวา และไม่สนใจเข้าศึกษาสัมมาปฏิบัติพระสัทธรรม ให้ซาบซึ้งในพระคุณของพระรัตนตรัยดีพอ จึงกลายเป็นผู้ขาดศีลขาดธรรม ไร้คุณธรรมประจำใจไปโดยปริยาย เป็นเหตุให้กิเลส ตัณหา อุปาทานเข้าครอบงำจิตใจได้ง่าย และไร้จิตสำนึกในบาป-บุญ คุณ-โทษ กันมากขึ้น

  เมื่อมีการขัดแย้งกัน แม้ในครอบครัว ในวงงาน และในวงสังคม ก็จะแสดงกิริยา วาจา โต้เถียง วิพากษ์วิจารณ์ ทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง

 ดังตัวอย่างที่เห็นเป็นข่าวการประท้วงที่รุนแรง เพราะความขัดแย้งกันในประเทศ เริ่มตั้งแต่การใช้วิธีการปลุกระดมมวลชน สร้างกระแสมวลชนให้คล้อยตามเป็นแนวร่วมมาปะทะกันด้วยกิริยาวาจาที่ก้าวร้าว หยาบคายต่อกัน หนักๆ เข้าก็บานปลายกลายเป็นการปะทะกันด้วยกำลังอย่างบ้าคลั่ง และไร้ศีลธรรม และนำไปสู่การเกิดการจลาจลระหว่างคนในชาติกันเอง ให้ชาวต่างชาติคู่แข่งเขาฉกฉวยโอกาสทอง ตักตวงผลประโยชน์ล่วงหน้าไป

 เพราะมัวแต่ทะเลาะวิวาทกันเอง ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาแท้ๆ

"พระราชญาณวิสิฐ (หลวงป๋า)"