
'จิบธรรมชาติ บนเขาแหลมราชบุรี'
จิบธรรมชาติ บนเขาแหลมราชบุรี : คอลัมน์ ชวนเที่ยว เรื่อง-ภาพ นพพร วิจิตร์วงษ์
อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ที่เมื่อก่อนเป็นอำเภอชายแดน ไร้การเหลียวแล จนมีการจัดสรรที่ดินขาย กลายเป็นรีสอร์ทท่ามกลางธรรมชาติ แล้วแต่ใครจะสรรหาอะไรมาเป็นจุดขาย และก็เป็นที่ที่มีฟาร์มแกะต้อนรับนักท่องเที่ยวแห่งแรกๆ ที่ดึงนักท่องเที่ยวเข้าไปอำเภอสวนผึ้งมากขึ้น จนถึงวันนี้ กลายเป็นว่า สวนผึ้งรถติด ยิ่งวันหยุดยิ่งติด เพราะนักท่องเที่ยวหลั่งไหลไปพักผ่อน
ท่ามกลางความวุ่นวายในตัวอำเภอสวนผึ้ง ขุนเขาที่ตระหง่านเงียบสงบถูกทิ้งอยู่อีกด้าน "เขาแหลม" ชื่อที่เรียกขานกันในหมู่นักท่องเที่ยวเดินป่า เป็นป่าดิบแล้ง แต่หลากหลายด้วยพืชพันธุ์ และกล้วยไม้หายาก ป่าที่ฉันเคยผ่านไปและกลับมาพร้อมกับคำถามในใจเมื่อได้เห็นสภาพป่าชายขอบด้านหนึ่งถูกบุกรุก ลักลอบตัดไม้ ถามคนในพื้นที่ได้แต่ทอดถอนใจ ที่ไม่อาจต้านนายทุนได้ จนวันหนึ่งเกิดน้ำป่าดินถล่ม แถมอีกปีถัดมา เกิดไฟป่าซ้ำอีก แต่ป่าผืนนี้ก็ยังพร้อมรองรับคนที่แรงเหลือๆ ไปเดินทิ้งพลัง ศึกษาธรรมชาติกัน
เขาแหลม เป็นพื้นที่ภายใต้การดูแลของโครงการอุทยานธรรมชาติวิทยา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เข้าไปทางเดียวกับน้ำตกเก้าโจน เลยแยกไปเขากระโจม ครั้งนี้ฉันเดินทางไปกับเพื่อนกลุ่มเล็กๆ เลยอาศัยขับรถไปกันเอง ออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ เพราะเดินกันแค่เสาร์-อาทิตย์ 2 วัน 1 คืน ไม่ต้องลาเรียน ลางานให้ยุ่งยาก
ถึงสำนักงาน พบปะเจ้าหน้าที่ตามที่นัดหมาย ยังมีโอกาสได้แวะดูนิทรรศการในโครงการ เห็นถึงสภาพของผืนป่า ที่มีทั้งบริเวณป่าดิบแล้ง พื้นที่ทำเหมืองเก่า และน้ำตก บ่อน้ำพุร้อน ตลอดจนเครื่องมือ เครื่องใช้โบราณที่ค้นพบในพื้นที่ พอคนนำทางและลูกหาบมาถึง ก็จัดการถ่ายข้าวของใส่รถกระบะเจ้าหน้าที่ ขับเข้าไปส่งตามทางลูกรังไกลสุดเท่าที่จะเป็นได้ เพื่อขึ้นเป้ดูสภาพของผืนป่ากันจริงๆ เสียที
ระยะแรกที่ขึ้นเป้ ออกเดิน ยังเป็นเส้นทางชันไม่มากนัก เราเดินกันไปเรื่อยๆ จนถึงข้ามน้ำแรก จากนั้นก็เริ่มขึ้นเนิ่นชันๆ ไปเรื่อยๆ ฝนโปรยลงมาเล็กน้อยพอให้ชื่นใจ แต่ก็ไม่มากพอจนเปียกปอน เราไต่ดิ่งทางชันสลับกับได้พักขาบางนิดหน่อยบนทางราบสันเขา ฉันใช้วิธีพักเหนื่อย ด้วยการถ่ายรูปต้นไม้ ดอกไม้ กอมอส ไปพลางๆ ฉันนึกถึงคำพูดของเพื่อนได้ว่า "ตรงไหนที่ชอบก็ถ่ายเถอะ จะได้ไม่ต้องเสียดาย เพราะเราอาจจะไม่ได้มาที่นี่อีกก็ได้" เดินเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ยังเป็นสโลแกนประจำตัวของฉันทุกครั้งที่แบกเป้เข้าป่า
ดูเหมือนหนทางระยะก่อนขึ้นสันเขาไปจุดที่ตั้งแคมป์ ชันมากๆ แถมเป็นป่าไผ่ อากาศอ้าวๆ ทำให้ต้องหยุดพักบ่อยครั้ง จนตะวันคล้อยบ่ายจัด เราถึงได้มาถึงแอ่งน้ำซับ จุดสุดท้ายก่อนจะขึ้นสันเขา แวะพักล้างหน้าล้างตา แต่ไม่ถึงขั้นได้อาบน้ำกันหรอก มากสุดก็ต้มน้ำชงกาแฟ เติมน้ำให้เต็มขวด แต่ถ้าจังหวะไม่ดี ใบไม้ ดิน ทับถมท่อน้ำ ก็ต้องขุด รอให้น้ำใส ค่อยกรองไปใช้
เฮือกสุดท้าย ... ไต่ทางชัน ป่าไผ่ไอร้อน ก่อนจะโผล่ขึ้นสันเขา ที่อากาศโปร่งโล่งสบายขึ้น เราเดินเลียบสันเขาแนวขวาไปเรื่อยๆ เพราะแยกซ้ายจะขึ้นไปยอดสูงสุดของเขาแหลม และมีมุมชมวิวสวยๆ ที่เราหมายมั่นปั้นมือว่า พรุ่งนี้เช้าค่อยมาดูแล้วกัน
บนสันเขาก่อนถึงที่พัก เจอกับดอกเข้าพรรษา หรือที่ฉันนิยมเรียกมันว่า "หงส์เหิน" ดอกหญ้าสีเหลือง ที่ออกลีลาเหมือนนางหงส์ แล้วยังมีเห็ดสวยๆ อีก เลยได้แวะถ่ายรูปจนลืมเหนื่อย ปล่อยเพื่อนๆ ล่วงหน้าไปที่ตั้งแคมป์กันก่อน และมุมที่คุ้นเคยริมหน้าผาก็ยังรอฉันอยู่ จัดแจงผูกเปลนอน แล้วค่อยไปนั่งชมวิวบนก้อนหินริมหน้าผา ที่เห็นหุบเขาลึก มีแนวฉากต้นไม้ตั้งขวางกั้นอยู่ขวางหน้าเป็นแนวยาว เทือกเขาฝั่งตรงข้ามนั่นเอง เป็นแนวเขาที่แบ่งเขตแดนไทย-พม่า เต็มแน่นไปด้วยไม้ยืนต้นสูงใหญ่ เห็นแล้วนึกอิจฉา
นั่งชมวิวกันเพลินๆ เมฆฝนก็มาอีกรอบ ฟ้าเริ่มออกสีส้มอมเหลือง ทำท่าเหมือนฝนจะตกใหญ่ แต่ไม่นานลมก็พัดเมฆฝนเลยไป ปล่อยให้เรานั่งจิบลมชิลๆ ไปจนเย็นย่ำ
หลังมื้อค่ำ ยังได้ออกมานั่งดูดาวตรงผาหินแคบๆ กันอีกพักใหญ่ จนลมตึงนั่นแหละ ถึงได้ถอยกลับมานั่งใต้ฟรายชีทในแนวไม้ บรรยากาศค่ำคืนนี้ อบอวลไปด้วยมิตรภาพ มิตรเก่า มิตรใหม่ต่างที่มา แต่ด้วยหัวใจเดียวกัน รักธรรมชาติเหมือนกัน เลยคุยกันออกรส เรื่องราวการเดินทาง ถูกหยิบยกขึ้นมาถามไถ่ ไปจนถึงเรื่องขำขัน อำกันไปมา จนค่อนดึกถึงได้แยกย้ายกันไปนอน ฉันผูกเปลใหล้หน้าผา รับลมเย็นๆ ไปเต็มๆ แต่สุดท้ายพอลงเปล ก็หลับอุ่นสบายในถุงนอน
เช้ามืด ...เสียงเพื่อนที่ตื่นก่อน ปลุกกันเป็นทอดๆ ฉันรีบเปลี่ยนกางเกงตัวลุย ฉวยกล้อง ส่วนคนนำก็เตรียมเครื่องต้มกาแฟ พร้อมเดินทาง ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที ที่เราเดินขึ้นยอดสูงสุด อ้อมไปอีกด้าน ก่อนจะไต่ลงไปเจอกันผาหิน ที่เหมือนโผล่ขึ้นมาจากหุบเหว "โอววว... ฉันจะไต่ข้ามไปไหวเหรอเนี่ยะ" แต่สุดท้ายกลิ่นกาแฟก็เรียกเราข้ามไปจนได้ นับเป็นโต๊ะกาแฟที่วิวดีที่สุดในโลกของฉันเลยทีเดียว แม้จะไม่มีทะเลหมอก แต่เราก็เห็นวิวไปไกลๆ เป็นการตอบแทน
จากจุดนี้เห็นไกลถึงตัวเมืองสวนผึ้ง สายถนน โค้งน้ำ
จิบกาแฟ ถ่ายรูปกันจนพอใจ แดดก็เริ่มมา เราถึงได้เดินกลับแคมป์พัก เพื่อทำอาหารเช้า ก่อนเก็บเป้ เดินทางลงเขา
เช้านี้ ทุบหม้อข้าวทีเดียว ทำลายน้ำหนักกันเต็มที่ เหลือเสบียงนิดหน่อยไว้แก้หิวกลางทาง เพราะขากลับเราจะลงไปทางน้ำตกเก้าโจน ผ่านป่าไผ่ ที่ใช้ระยะทางไม่น้อยกว่าขาขึ้นมา เราตัดเลาะลงทางเหมืองเก่า เข้าป่าไผ่ ทางชันไม่น้อยไปกว่าขาขึ้น เดินกันจนเพื่อนบางคนที่เพิ่งออกทริปต้องขอตัวช่วย นั่งพักกันนานหน่อย ก่อนจะหลุดลงมาเหนือน้ำตกก็ทำเอาหอบไปตามๆ กัน ป่าช่วงนี้ เพิ่งผ่านแล้งมาไม่นาน ไผ่แห้งๆ อากาศร้อนๆ ช่างกินแรงนัก
เราพักกันนานหน่อย เหนือน้ำตก ที่เหมือนแอ่งน้ำให้ดื่ม ให้อาบ ต้มน้ำชงกาแฟ แวะถ่ายรูป เพื่อนบางคนถึงกับแอบนอนหลับบนก้อนหินใหญ่ ที่มีสายน้ำไหลเอื่อยๆ อยู่รอบๆ
"งู " เสียงร้องดังของเพื่อนอีกคน ทำเอาตกใจ แต่ดีที่ว่าเจ้างูไม่ตกใจกว่า มันยังคงขดตัวอยู่บนกิ่งไม้ ใกล้กับจุดที่เราจะลงเล่นน้ำซะด้วย ด้วยความที่หางเป็นสีน้ำตาลยาวเกินศอก บอกให้รู้ว่าเราควรอยู่ห่างๆ มันดีกว่า เกิดตกใจฉกขึ้นมาจะแย่ไปตามๆ กัน เพราะมันเป็น "งูเขียวหางไม้" ที่พิษไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่างูพิษอื่นๆ เลยเชียว
พักกันหายเหนื่อย เวลาบ่ายไปทุกที จนต้องเร่งๆ กันขึ้นเป้เดินต่อ เส้นทางจาเหนือน้ำตกลงมา ผ่านป่าเป็นบางช่วง ผ่านก้อนหิน แนวหินน้ำตก ลงมาทีละชั้น ทีละชั้น จนเริ่มเห็นมีนักท่องเที่ยวที่ไปเล่นน้ำตกนั่นแหล่ะ ทำเอาแรงมาอีกโข ราวๆ 4 โมงเย็น ก็หลุดลงมาถึงร้านค้าด้านล่าง พร้อมกับสายฝนปรอยๆ ลงมาทักทายแบบไม่ให้หายใจหายคอเลยเชียว พักกันพอแรงค่อยขึ้นรถกลับสำนักงาน เก็บข้าวของ ร่ำลาเจ้าหน้าที่ เดินทางกลับพร้อมกับแบตเตอรี่ชีวิตที่เติมเต็ม
เขาแหลม แม้ไม่ใช่ป่าใหญ่ แต่มีความหลากหลายธรรมชาติ ที่ควรค่าแก่การหวงแหน อนุรักษ์ไว้ให้ดี และถ้าจะไปเยือนอาจจะต้องฟิตร่างกายกันหน่อย กายพร้อม ใจพร้อม มิตรพร้อม ตลอดเส้นทางย่อมสวยงามเสมอ
..........................................
(หมายเหตุ จิบธรรมชาติ บนเขาแหลมราชบุรี : คอลัมน์ ชวนเที่ยว เรื่อง/ภาพ นพพร วิจิตร์วงษ์)