
'ดึงชาวบ้านร่วมพัฒนา'สูตรกรมทางหลวงชนบท
'ดึงชาวบ้านร่วมพัฒนา'สูตรสำเร็จกรมทางหลวงชนบท : คอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษ : ชาติชาย ทิพย์สุนาวี อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.)
การถ่ายโอนบุคลากรและควบรวมภารกิจระหว่างกรมโยธาธิการ และกรมเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2545 ในชื่อใหม่ กรมทางหลวงชนบท (Department of Rural Roads) (ทช.) ส่วนราชการระดับกรม สังกัดกระทรวงคมนาคม ด้วยเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาการจราจรที่ติดขัดทั้งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขเร่งด่วน อันหมายรวมถึงความร่วมมือในการพัฒนาโครงข่ายการเดินทาง การขนส่งสินค้าที่เชื่อมโยงสู่ภูมิภาค เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่นให้มีความสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น
ตลอด 1 ทศวรรษของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) กับภารกิจที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง ด้วยขุมกำลังเพียง 4,600 คนทั่วประเทศ แบ่งเป็นข้าราชการ 1,800 คน และลูกจ้างประจำ 2,800 คน มีผลงานมากมาย ผลสำเร็จเหล่านั้นยึดมั่นหลักการที่ว่า ประชาชนต้องมีส่วนร่วมพัฒนาในทุกบริบท โดยเฉพาะการช่วยกันปกป้องดูแลรักษา เฝ้าระวังทรัพย์สมบัติของชาติ นำมาซึ่งสโลแกน "กรมทางหลวงชนบท เชื่อมโยงทั่วไทย เชื่อมใจคนทั้งชาติ" อันเป็นวิสัยทัศน์ของผู้บริหารกรม กระทั่งปัจจุบัน โดยการนำของ ชาติชาย ทิพย์สุนาวี อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ที่ได้ยึดหลักการทำงานนี้ เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการต่างๆ บทบาทความรับผิดชอบ-ภารกิจของ ทช.
ความแตกต่างทางกายภาพ เป็นตัวกำหนดขอบข่ายหน้าที่ความรับผิดชอบ ดังที่อธิบดีกรมทางหลวงชนบท แจงว่า ถนนสายหลักหรือสายใหญ่ที่เชื่อมระหว่างเมือง ภูมิภาค จังหวัด กรมทางหลวง (ทล.) เป็นผู้ดูแล ขณะที่โครงการสายรอง หรือถนนสายรองที่เชื่อมระหว่างสายหลักไปยังถนนย่อยตามหมู่บ้านในการดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท (ทช.)
นั่นคือ ทช.จะส่งผ่านการจราจรจากถนนสายใหญ่เข้าสู่หมู่บ้าน ขณะเดียวกันก็ขนส่งสินค้าเกษตรจากไร่นาเชื่อมสู่ถนนสายใหญ่ ด้วยหลักสังเกตง่ายๆ ว่าถนนนั้นหากอยู่ในความรับผิดชอบของ ทล.จะมีตัวเลขกำกับโดยจะติดไว้ที่ป้ายหรือหลักกิโล ส่วนของ ทช.จะมีตัวเลขกำกับและมีตัวอักษรนำหน้า เป็นชื่อจังหวัดนั้นๆ เช่น นนทบุรี จะเป็น นบ.ต่อด้วยตัวเลขกำกับ 4 ตัว
"ทช.เกิดมาได้ 10 ปีเศษจากการปฏิรูปราชการเมื่อปี 2545 โดยกระทรวงคมนาคมที่รวมเอากรมโยธาธิการ เฉพาะส่วนที่ทำถนนรวมกับ รพช.ซึ่งทำถนน สะพาน เข้าด้วยกัน เมื่อรวมกันแล้วจึงเป็นหน้าที่ของ ทช.รับผิดชอบถนนสายรองที่เชื่อมสายใหญ่และสายย่อยในหมู่บ้าน"
อธิบดีชาติชาย กล่าวเสริมว่า นั่นหมายถึงกรมทางหลวงชนบท (ทช.) มีหน้าที่หลัก 3 ประการ คือก่อสร้างถนน ซ่อมบำรุงถนน และเป็นพี่เลี้ยงให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ด้วยให้ความรู้ด้านวิชาการ ภายใต้คอนเซ็ปต์ "สร้าง ซ่อม สอน" ดังปลายปี 2554 ที่เกิดอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ ถนน สะพาน ในความดูรับผิดชอบของ ทช.ได้รับความเสียหายนับร้อยๆ เส้นทาง ทว่าด้วยระบบการรายงานทางอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็ว แม่นยำในจุดที่มีปัญหารวมทั้งการประมวลข้อมูลที่ถูกต้อง ถึงตอนนี้ได้ดำเนินการซ่อมแซมหมดแล้ว ยกเว้นแห่งเดียวสะพานบ้านแฮด ที่ จ.ขอนแก่น เนื่องจากมีขนาดยาวจึงต้องใช้เวลาปรับปรุงซ่อมแซม
อย่างไรก็ตาม ทช. คือกรมโยธาธิการเดิม ดังนั้นในกรุงเทพมหานคร จึงมีถนน สะพาน ในความรับผิดชอบด้วย อาทิ ถนนชัยพฤกษ์ ถนนชัยพฤกษ์ สะพานพุทธ สะพานพระปิ่นเกล้า สะพานกรุงเทพ สะพานภูมิพล 1 สะพานภูมิพล 2 และสะพานใหญ่ๆ แทบทุกแห่ง ยกเว้นสะพานพระราม 8 และสะพานวงแหวนกาญจนาพิเศษ ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ทว่าสิ่งสำคัญในการพัฒนาชนบทตอนนี้ อธิบดีชาติชาย ยอมรับว่า ทช.ยังมีถนนลูกรังอีก 5,200 กม. มีนโยบายที่จะปรับปรุงพัฒนาให้เป็นถนนลาดยางทั้งหมดภายในปีงบประมาณ 2560 ทั้งนี้ จากที่ ทช.มีถนนในความรับผิดชอบทั่วประเทศประมาณ 49,000 กม. ได้ดำเนินการลาดยางหมดแล้ว เหลือเพียง 5,200 กม.ดังกล่าว ในจำนวนนี้จะเร่งพัฒนาให้เสร็จสิ้นภายใน 3 ปี โดยปี 2557 ทช.ได้เงินก่อสร้าง 750 กม.ที่เหลือตั้งเป้าหมายพัฒนาไว้ปีละ1,500 กม.
พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-รุกคืบโปรเจกท์ใหญ่
อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมจัดทำแผนพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานกู้เงินวงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท ขณะที่กรมเสนอของบไปวงเงิน 1.3 แสนล้านบาท ดำเนินโครงการปี 2556-2563 กระจายไปยังต่างจังหวัด เช่น อุบลราชธานี เชียงใหม่ ภูเก็ต นครศรีธรรมราช นครราชสีมา ฯลฯ
อันประกอบด้วยแผนหนุนการลงทุนการค้าและการผลิต ด้วยทำถนนเชื่อมระหว่างคมนาคมหลัก เช่น เชื่อมถนนแผ่นดินกับสนามบิน ท่าเทียบเรือ สถานีรถไฟ การแก้ปัญหาจราจรในเมืองและภูมิภาค ต่อด้วยแผนสนับสนุนทางเชื่อมเข้าแหล่งท่องเที่ยว แผนส่งเสริมเส้นทางขนส่งพืชผลการเกษตร อีกทั้งแผนยกถนนเป็นคันกั้นน้ำรวม 27 โครงการ โดยแผนงานต่างๆ จะดำเนินการตามผลการศึกษาของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)
ขณะที่โครงการขนาดใหญ่เพื่อช่วยแบ่งเบาปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เริ่มจากสะพานนนทบุรี 1 คืบหน้ากว่า 10% โดยกำหนดเปิดใช้ในปี 2557 ถนนเชื่อมต่อราชพฤกษ์ถึงวงแหวนแนวออก-ตก คืบหน้ากว่า 20% ส่วนถนนเชื่อมราชพฤกษ์แนวใต้ อยู่ระหว่างตั้งงบประมาณเวนคืนที่ดิน กำหนดเปิดใช้เส้นทางปี 2560
ด้านโครงการ "โกลเด้นเกท" สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อมสมุทรปราการและสมุทรสาคร อยู่ระหว่างการศึกษา ทว่าหากแล้วเสร็จเปิดใช้เส้นทางจะช่วยอำนวยความสะดวกต่อการเดินทางของประชาชนแถบสมุทรสาครข้ามไปยังสมุทรปราการ และเข้ากรุงเทพฯ
ดำเนินการเร่งด่วนแก้วิกฤติจราจร
อธิบดีชาติชาย แจงถึงงานเร่งด่วนที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงคมนาคม คือ การแก้ไขปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร-ปริมณฑลในความรับผิดชอบของ ทช. ประกอบด้วย ถนนราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ กัลปพฤกษ์ เพื่อดำเนินการก่อสร้างให้เชื่อมโครงข่ายช่วงถนนสาทรให้สะดวกขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบให้เป็นสะพานต่างระดับ เพราะปัจจุบันมีถนน 3-4 เส้นมาบรรจบกันทำให้เกิดปัญหารถติดอย่างหนัก หากทำทางต่างระดับก็จะแก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้อย่างแน่นอน
พร้อมกันนี้ได้แก้ปัญหาบริเวณจุดตัดถนนราชพฤกษ์เชื่อมกับถนนบรมราชชนนี ด้วยการขยายเกาะกลางเพิ่ม 1 เลน ดำเนินการงบประมาณปี 2557 ส่วนถนนราชพฤกษ์ขยายจาก 6 เลนเป็น 10 เลน ได้เริ่มสร้างมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ตั้งแต่รัตนาธิเบศร์ถึงวงเวียนเลยไปถึงคลองมหาสวัสดิ์ ซึ่งจะรองรับรถไฟฟ้าสายสีม่วงด้วย
ขณะเดียวกัน ทช.ได้น้อมนำตามรอยเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาประยุกต์ใช้กับงานก่อสร้าง ด้วยสนับสนุนโครงการพระราชดำริและโครงการหลวงจำนวน 20 โครงการ รวมระยะทาง 106.418 กิโลเมตร ตลอดจนโครงการของพระบรมวงศานุวงศ์ 29 โครงการ รวมระยะทาง 168.94 กิโลเมตร และแผนสนับสนุนยุทธศาสตร์สายทางตามแนวพระราชดำริ งบประมาณปี 2555 จำนวน 19 โครงการ ระยะทาง 118.371 กิโลเมตร ทั้งนี้ ในปี 2556 ทช.มีแผนพัฒนาสายทางที่สนับสนุนโครงการพระราชดำริ 10 สายทาง ระยะทางรวม 68.372 กิโลเมตร
เน้นประชาชนมีส่วนร่วมพัฒนา
ทุกโครงการของกรมทางหลวงชนบท เน้นประชาชนมีส่วนร่วม ฉะนั้นจะต้องมีการสอบถามประชาชนทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ และเมื่อได้แบบแล้วก่อนเซ็นสัญญาจะหารือตัวแทนท้องถิ่น ร่วมกับผู้รับเหมาพร้อมทางกรมร่วมลงนามทำเอ็มโอยู 3 ฝ่าย เพื่อให้ชาวบ้านได้รู้ว่ากรมจะทำถนนจากไหนถึงไหน กว้างเท่าไหร่ ยาวเท่าไหร่ มีอะไรบ้าง
อีกทั้งได้เปิดกล่องรับความคิดเห็นของชาวบ้านในขั้นตอนการก่อสร้างว่าถนนนั้นมีปัญหาอย่างไรบ้าง ต้องการอะไรเพิ่มเติม พร้อมตั้งคำถามให้ชาวบ้านช่วยออกความคิดเห็น เพื่อตรวจสอบการทำงานของกรม อาทิ มีการบดอัดไหม ทั้งในชั้นงานดิน งานลูกรัง งานหินคลุก และงานชั้นพื้นผิว ซึ่งความคิดเห็นเหล่านี้จะถูกนำมาประมวลเพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขต่อไป
"ด้วย ทช.มีพนักงานข้าราชการรวมแล้ว 4 พันคนเศษ ซึ่งถือว่าน้อยมาก เราจึงจำเป็นต้องเอาประชาชนเข้ามาช่วยตรวจสอบ เพื่อป้องกันพวกเราบางทีพลั้งเผลอ จะได้มีคนช่วยเตือนช่วยกระตุ้น"
ส่วนขั้นตอนการดูแลรักษา กรมได้จัดตั้งเป็นโครงการอาสาสมัครทางหลวงชนบท (อสทช.) ซึ่งมาจากประชาชนในพื้นที่ ผู้ใช้เส้นทาง หรือผู้ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่แถวถนน โดยใช้สูตร 1 คน ต่อหนึ่งสายทาง แต่หากเป็นเส้นทางสายยาวเป้าหมายคือ 5 กิโลเมตรต่อ 1 คน เพื่อให้ช่วยแจ้งข่าวสารสู่ทางหลวงชนบทจังหวัด โดยให้ อสทช.กลุ่มนี้แจ้งเข้ามาในหลายช่องทาง ทั้งทางไปษณียบัตร โทรศัพท์ ฯลฯ
โดยกรมได้ตกลงกับบัญชีกลาง ว่าประชาชนที่แจ้งเข้ามาสามารถเบิกจ่ายค่าตอบแทนได้ครั้งละ 10 บาท ทว่าเดือนหนึ่งต้องไม่เกิน 100 บาท พร้อมกันนี้กรมได้เรียกชาวบ้านกลุ่มนี้เข้ามาอบรมทำกิจกรรมร่วมกัน และทุกปีจะมีการแจกรางวัลให้ อสทช.ดีเด่น ปัจจุบันมีชาวบ้านเข้าร่วมโครงการเกือบ 1 หมื่นคนทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเมืองควบคู่การพัฒนาชนบทด้วยประชาชนมีส่วนร่วมนี้ ชาติชาย ทิพย์สุนาวี อธิบดีกรมทางหลวงชนบท ย้ำชัดว่า เป็นไปตามปณิธานและสโลแกน "กรมทางหลวงชนบท เชื่อมโยงทั่วไทย เชื่อมใจคนทั้งชาติ" อันนำมาซึ่งผลสำเร็จของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ปัจจุบัน
......................................................................
('ดึงชาวบ้านร่วมพัฒนา'สูตรสำเร็จกรมทางหลวงชนบท : คอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษ : ชาติชาย ทิพย์สุนาวี อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.))