ไลฟ์สไตล์

'หมอประดิษฐ'ยันเดินหน้าP4P

'หมอประดิษฐ'ยันเดินหน้าP4P

08 มิ.ย. 2556

'บิ๊กสธ.'ยันเดินหน้า P4P สั่งเคลื่อนต่อในพื้นที่ที่ทำแล้ว ด้าน 'ปลัด สธ.' เผย ส่วนใหญ่พึงพอใจ พร้อมส่งทีมสนับสนุน รพ.ที่ไม่พร้อม

               เมื่อเวลา 08.30 น. นายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันตอบคำถามในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชนทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ถึงกรณีที่มีการนัดทำความเข้าใจกับกลุ่มแพทย์ชนบทที่คัดค้านนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ในเรื่องของการจ่ายค่าตอบแทนตามผลปฏิบัติการ(Pay for Performance) หรือ P4P Pay for เมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา

               โดยนายแพทย์ประดิษฐ กล่าวว่า วันนั้นทำความเข้าใจกันชัดเจนว่าเรามีวัตถุประสงค์ตรงกันที่จะทำเพื่อประชาชน พอเข้าใจตรงนี้ก็คุยทุกอย่างได้ง่ายขึ้น เรื่องแรกคือ P4P เป็นส่วนหนึ่งของการที่จะทำให้ประชาชนได้ประโยชน์เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งเราก็เข้าใจกันดีว่ารัฐบาลไม่ได้มีนโยบายจะไปตัดเงินตอบแทนให้แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์อยู่ในภาครัฐ หรืออยู่ในภาคชนบท พอเข้าใจตรงนี้มันทำงานง่ายขึ้นเราก็เห็นว่าต้องทำ P4P ด้วยกันก็สรุปว่า ตอนนี้ P4P ที่เราเริ่มกันมาก็จะเริ่มต่อไปไม่มีใครหยุดเดินหน้าต่อไปทั้งหมด แต่ในการทำบางครั้งอาจจะมีโรงพยาบาลที่ทำไปแล้วมีปัญหาอะไรบ้างเราก็มีการเข้าไปดูแลว่าเกิดปัญหาอะไร เยียวยาชดเชยสิ่งที่เสียหายขึ้นไปว่าเกิดอะไรขึ้นมา เช่น รายได้ บางกลุ่มอาจจะอยากทำแต่ความไม่พร้อมทั้ง 2 ฝ่ายเราต้องเข้าไปดูแลให้บุคคลากรนั้นมีความพร้อมเข้าใจถึงข้อมูลชัดเจน ส่วนนี้เองถ้ามีปัญหา ผลกระทบจากรายได้ที่ต่างไปเราก็เข้าไปดูแลอีก อย่างน้อยที่สุดกลุ่มที่เดินหน้าก็เดินไป แต่กลุ่มที่ยังไม่พร้อมต้องทำอย่างช้าที่สุด 1 ตุลาคม 2556 และมี MY stone Chart เพื่อแก้ปัญหาอีก เราก็ดูว่าบริบทของโรงพยาบาลจะมีความต่างกัน มีภาระหน้าที่ น้ำหนักไม่เท่ากัน หรือขั้นตอนที่ผู้ไม่เข้าใจมาเราก็จะรับไว้ปรับปรุง เราก็ตั้งเป็นคณะทำงานขึ้นมาว่าจะมาปรับปรุงในเรื่องนี้อยู่ว่า ถ้ามีตรงไหนที่ต้องปรับปรุงรายละเอียดปลีกย่อย เพื่อให้มันเดินหน้าได้ง่าย คล่องตัวถูกกับพื้นที่ก็ทำกันไป แต่จะมีกฎเกณฑ์กลางเพื่อให้เห็นว่าระบบมันเดินไป

               ส่วนการตั้งคณะทำงานนั้น รมว.สาธารณสุข กล่าวด้วยว่า มีการเชิญผู้ที่ได้ส่วนได้เสียมาช่วยกันทำ เช่น กลุ่มโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน กลุ่มวิชาชีพต่าง ๆ เช่น พยาบาล เทคนิคการแพทย์ เภสัชกร ทันตแพทย์ และก็คงมีเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการที่จะเข้ามาดูระเบียบ เช่น กรมบัญชีกลางอะไรต่าง ๆ เราถือว่าเป็นการทำงานอย่างมีส่วนได้เสียกันมากกว่าเป็นทีม ไม่ได้มาแบ่งกลุ่มว่ากลุ่มนี้ กลุ่มนั้น

               น.พ.ประดิษฐ กล่าวต่ออีกว่า นโยบายที่แยกเป็นสองส่วนว่า ส่วนแรกเป็นมาตรการทางการเงินคือ การจ่ายค่าตอบแทนบุคลากรของกระทรวงฯที่ทำให้ไม่แตกต่างกับภาคเอกชน จะต้องสูงกว่าในเขตที่เป็นเขตเมืองหรือเขตปกติ ส่วนที่สองเรื่องปรับปรุงประสิทธิภาพของการทำงานของการใช้เงิน ที่ไม่อยากให้มีปัญหาทางงบประมาณต่อไป อยากให้เงินภาษีของรัฐลงไปอย่างมีประสิทธิภาพมาตรการ เพราะขณะนี้งบประมาณกำลังคนของเราใช้ประมาณร้อยละ 50 ของงบประมาณด้านสุขภาพของเรา ซึ่งกินงบประมาณถึง 15% ของงบประมาณประเทศแล้ว ที่นี้แทนที่เราจะไปเพิ่มคนเราเอาเงินที่จะเพิ่มคนไปจ่ายเป็นเรื่องประสิทธิภาพมันก็จะได้ หัวใจของการทำเรื่องประสิทธิภาพก็คือการงานตามตัวชี้วัด วัดผล ประเมินผลและปรับปรุง ทั้งนี้หลายที่ทำไปแล้วนี้ดีขึ้นมีทัศนคติที่ดีขึ้น เข้าใจสโคบงานมากขึ้นมีขวัญกำลังใจมากขึ้น และยืนยันด้วยว่าไม่ได้เสียสิทธิ์ ไม่ได้ถูกตัดสิทธิ์ ไม่ได้รายได้ลดลง เพราะความตั้งใจรัฐบาลไม่ได้จะไปลดตรงนี้ เพราะเราเห็นวัตุถประสงค์ชัดเจน มีการทำค่าตอบแทนพื้นที่ที่เป็นพื้นที่พิเศษเฉพาะที่ไม่เรียกว่าเป็นพื้นที่ทุรกันดารเหมือนเดิม เพราะบริบทของแต่ละที่เปลี่ยนไปจากโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็กเป็นขนาดใหญ่เป็นเมืองเขตปกติ บทบาทหน้าที่ก็เปลี่ยนไป ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการให้เงินเขตชนบทและเขตเมืองก็เปลี่ยนกันแล้ว จะให้เงินจ้างอยู่ในเขตเมืองก็ไม่ใช่

               “แต่มันมี P4P มาแล้วก็มาปลุกประสิทธิภาพซึ่งจะเอาเข้าไปช่วยในเรื่องผลประโยชน์ของประชาชน เพราะว่าประสิทธิภาพผมอยากจะเน้นว่ามันไม่ใช่เรื่องการประหยัดเงินเรื่องอะไรคุณภาพที่จะได้ เช่น การรอคิว รออะไรต่าง ๆ ก็จะน้อยลง รอคิวผ่าตัดก็น้อยลงอย่างนี้เป็นผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้ การเข้าไปดูแลสุขภาพที่เมื่อก่อนอาจจะไม่ได้เป็นงานที่มีตัวกระตุ้น recentive ก็เข้าไปดูสุขภาพประชาชนก็ได้ตัวค่าตอบแทนตรงนี้มาอีก บุคลกรก็มีกำลังใจทำงานมากขึ้น การมีกำลังใจมากขึ้นชัดเจนมากขึ้น คุณภาพการบริการต้องดีขึ้นอยู่แล้ว”รมว.สธ. กล่าว

               ขณะที่นายแพทย์ณรงค์ กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงได้วางแนวในการที่จะทำให้บุคลากรอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เช่น ในเรื่องของวิชาชีพแพทย์ มีโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท โครงการหนึ่งแพทย์หนึ่งอำเภอ และในกลุ่มของแพทย์เอง แพทย์ที่ไปอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เช่น แพทย์ไปอยู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะมีโอกาสเรียนต่อได้ไวกว่าแพทย์ที่อยู่ในพื้นที่ปกติ ดังนั้น มาตรการที่เราใช้สำหรับที่จะตรึงให้อัตรากำลังให้บุคลากรทางการแพทย์อยู่ในพื้นที่ห่างไกลมีอยู่หลายมาตรการ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีมาตรการทางการเงินด้วย และมาตรการทางการเงินก็จะมีสองส่วน เดิมเรามีส่วนเดียว คือ เรื่องของการจ่ายค่าตอบแทนตามพื้นที่เรียกว่า เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย แต่ในส่วนที่ผ่านมาในระยะเวลาตั้งแต่ประมาณ 4 - 5 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องของคนที่ทำงานมากถึงแม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลก็ควรจะได้ค่าตอบแทนที่มากขึ้นด้วย ดังนั้นก็เลยเป็นการเพิ่มเติมด้วยการจ่ายตามผลการปฏิบัติงานเพิ่มเติมไปด้วย

               ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า ในทางปฏิบัติทุกจังหวัดขณะนี้มีผู้ตรวจราชการ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดได้ลงไปทำความเข้าใจ แล้วก็มีหลายโรงพยาบาล หลายจังหวัด ที่ทำความเข้าใจแล้ว ก็เดินหน้า ทั้งในส่วนที่เก็บผลงานและเตรียมพร้อมที่จะจ่ายเงิน อย่างเช่น ในเดือนพฤษภาคม ก็มีหลายโรงพยาบาลที่จ่ายเงิน บางจังหวัดก็ได้รายงานตรงว่า ขณะนี้พร้อมที่จะจ่ายแล้ว เพราฉะนั้นจะมีจังหวัดบางส่วนที่เดินหน้าไปแล้ว เพราะต้องเรียนว่าเรามีโรงพยาบาลขนาดใหญ่อยู่ 100 โรง มีโรงพยาบาลชุมชนอยู่ประมาณ 730 โรง เรามีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ที่สถานีอนามัยเดิมประมาณเกือบ 10,000 แห่ง ซึ่งเป็นความแตกต่างของลักษณะงาน ซึ่งก็จะตามมาด้วยความแตกต่างของค่าตอบแทน แล้วก็มีวิชาชีพที่แตกต่างอยู่ถึงเกือบประมาณ 30 สายงาน เพราะฉะนั้นมันจะต้องผสมผสานความต้องการเพื่อที่จะไม่ให้เกิดความแตกต่างวิชาชีพและของทุกระดับด้วย ซึ่งอันนี้ก็จะเป็นความยากในการที่จะหากติกาแต่ก็คงจะต้องทำไปเพื่อให้ทุกคนอยู่ได้ และก็เห็นว่าทุกคนอยู่กันอย่างมีศักดิ์ศรีและมีความสุข

               "ขณะนี้เราจัดเป็นกลุ่ม เป็นเขตตามที่มีนโยบายว่าจะต้องใช้ทรัพยากรร่วมกัน ดังนั้น เราแบ่งสถานบริการของเราออกเป็น 12 เขต ขณะนี้เป้าหมายที่เราวางไว้คือ 12 เขต จะต้องให้บริการที่มีคุณภาพ และขีดความสามารถไม่แตกต่างกัน เช่น ผ่าตัดหัวใจได้ ทุกเขตจะต้องมีโรงพยาบาลที่สามารถผ่าตัดหัวใจได้ อย่างนี้เป็นต้น เขตใดยังไม่มีเราก็จะทุ่มทรัพยากรไปที่นั่น ดังนั้นการที่จะมองเป็นเขตบริการร่วมกัน จะทำให้ไม่มีการแย่งชิงทรัพยากรกันภายในจังหวัด ภายในเขต เช่น โรงพยาบาลใดถูกกำหนดให้เป็นโรงพยาบาลเฉพาะชั้นสูงด้านหัวใจ โรงพยาบาลข้างเคียงก็จะไปเป็นด้านอื่น ซึ่งจะไม่ซ้ำซ้อนกัน อันนี้ก็จะเป็นการพัฒนาคุณภาพบริการ และก็มีประสิทธิภาพในการที่จะใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด" นายแพทย์ณรงค์ กล่าว