
ศิลป์แห่งแผ่นดิน : อุ้มลูกโอบโลก
ศิลป์แห่งแผ่นดิน : อุ้มลูกโอบโลก : โดย...ศักดิ์สิริ มีสมสืบ
เจอ “กฤษฎา สุนทร” บ่อยครั้ง เพราะปัจจุบันเขามารับราชการที่กรมประชาสัมพันธ์ในตำแหน่งนักสื่อสารมวลชน ปฏิบัติการอยู่ส่วนแผนงานและพัฒนาฯ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ดินแดง กรุงเทพฯ
หากเอ่ยนาม “กอนกูย” คอกวีย่อมรู้จักดี นี่เป็นนามหนึ่งที่ผู้คนบนถนนสายวรรณกรรมคุ้นเคย ยอมรับนับถือในฐานะคลื่นลูกใหม่
เขามีผลงานกวีนิพนธ์มาแล้วหลายเล่ม ตั้งแต่ พ.ศ.2548 “กลับมารับขวัญวันใหม่” 2551 “ค่ำคืนที่โลกยังโศกเศร้า” 2552 “ฝากโลกนี้ไว้ในหัวใจเธอ” 2555 “กระชับพื้นที่หัวใจ” 2555 “อุ้มลูกโอบโลก” และล่าสุด 2556 “อุ้มลูกโอบโลก” ปรับปรุงใหม่ ผนวกเนื้อหา
เป็นชาวราศีสิงห์ เช่นเดียวกับผม แต่บุคลิกภาพไม่เป็นสิงห์หรอกครับ เหมือน “นก” มากกว่า นี่ว่าตามความรู้สึก
เขาเคยทำงานห้างร้าน, บุคลากรโรงงาน บริษัท เรียนต่อ ภาค กศ.บป. จนจบปริญญาตรีศิลปศาสตร์บัณฑิต นิเทศศาสตร์ (วารสารศาสตร์) จากสถาบันราชภัฏจันทรเกษม บทกวีเรื่องแรกพิมพ์ในคอลัมน์สะพานรุ้ง สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ เรื่องสั้นเรื่องแรก “ดอกคูนเสียงครวญ” ตีพิมพ์ใน สกุลไทย
ปี 2553 ลาออกจากงานมาดูแลมารดาที่ป่วย จนวาระสุดท้ายของท่าน จึงเข้าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ประจำโครงการหลักสูตรสหวิทยาการเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ของมหาวิทยาลัยสุรินทร์ ปัจจุบันนี้ทำงานอยู่ที่กรมประชาสัมพันธ์ ดังกล่าว
อุ้ม เธอหมายได้ชิดชีวิตรัก
ลูก เหมือนอาณาจักรแห่งความฝัน
โอบ วิถีงดงามความสัมพันธ์
โลก สร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้ตอบแทน
คือบทเปิดเลิ่ม “อุ้มลูกโอบโลก” กวีนิพนธ์เล่มล่าสุดของ “กอนกูย”
“เมื่อก้าวย่างสู่เส้นทางแปลกใหม่ บนถนนสายชีวิต แม้จะด้วยเจนนาหรือโดยบังเอิญ (ชะตากรรม) ก็ตาม ข้าพเจ้ายังยินดีที่จะทอดเท้าวางลงไป ร่วมสัมผัสกับหลากหลายสิ่งอย่างที่ต่างทั้งเชิงเผยและซ่อนเร้น อยู่ทุกอณูของมมวลสภาวะ ยั้งรับการเรียนรู้ อาจผิวหวัง ล้มเหลว..”
“กอนกูย-กฤษฎา สุนทร” กว่าทศวรรษของการมีลูกให้โอบอุ้มขับกล่อม หนุนตัก ขี่คอ พาดบ่า ฯลฯ “ข้าพเจ้ารู้ซึ่งเป็นที่สุดว่า ชีวิตทั้งชีวิตแตกต่างกันตรงนี้ โดยเฉพาะความเป็นชาติชายชาตรีที่มีลูกกระเดือก ...หาใช่การแข่งขันกันอุ้มลูก หากคือหน้าที่ความรับผิดชอบ ความเข้าใจ การดูแลเอาใจใส่ รักห่วงใย สมกับคำที่ยิ่งใหญ่ คือคำว่า “พ่อ” “แม่” และ “ลูก” ที่ต่างคนต่างมีและต่างเป็น เพื่ออีกลมหายใจอันเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ได้แลกเปลี่ยนสูดรับกับลมหายใจแห่งตัวตน ซึ่งลมหายใจหนึ่งอาจดับสิ้นลงทุกเมื่อ เพื่อต่อลมหายใจให้ดำรงอยู่ต่อไป”
“ลูก” เป็นแรงบันดาลใจให้กวีเขียนบทกวีมานักต่อนัก ขณะที่พ่อแม่แต่ละคนบนโลกนี้ ล้วนแต่ต้องรับบทบาทหน้าที่อันยิ่งใหญ่ไม่มีใครยิ่งหย่อนไปกว่าใคร เรียนรู้ด้วยชีวิต ปฏิบัติจริงเป็นปัจจุบัน แม้ว่าความหวังและความฝันจะนำทางล่วงหน้าไปไกลเพียงไร องค์ความรู้ทุกมิติ ทั้งรูปธรรมและนามธรรมอันเกิดจากคำว่า “ลูก” ได้ถูกถ่ายทอดเนื้อหาออกมา ปรากฏจับต้องได้ ในรูปแบบต่างๆ หากนับจำนวนนิตยสารที่เกี่ยวกับลูก (พ่อ แม่ ครอบครัว) หากนับจำนวนหนังสือ บทความ ตำรับตำรา หากนำมากองรวมกันย่อมสูงเป็นภูเขาเลากาเลยทีเดียว
เพียงแต่ มิติทางนามธรรม นั้นมีน้อยเมื่อเทียบกับตำรา วิธีการเลี้ยงลูก เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นคนดี ให้ฉลาด ให้เก่ง ให้เป็นอัจฉริยะ ให้ประสบความสำเร็จ ให้รวยเป็นมหาเศรษฐี
ในเมื่อมีกวีอีกคน เขียน บทกวีเรื่อง “ลูก” ออกมา ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดี เป็นโอกาสที่ พ่อแม่ ซึ่งส่วนใหญ่ได้เตรียมตัวกันตั้งแต่ฝันว่าจะมีลูกแล้ว ศึกษาเรียนรู้จากพ่อแม่ปู่ย่าตายาย อ่านตำรับตำราคู่มือกันมามากมาย จะได้เรียนรู้มิติทางนามธรรม ความหมายของคำว่า ลูก พ่อ แม่ ผ่านงานวรรณกรรม (บทกวี) ดูบ้าง
ในฐานะ “พ่อลูกสอง” ผมขอยืนยันความสำคัญของมิติทางนามธรรมอย่างยิ่งยวด
“อุ้มลูกโอบโลก” แบ่งเนื้อหาเป็น 2 ส่วน ภาคแรก อุ้มลูกภาคสอง โอบโลก
หากคิดว่าไม่มีพ่อแม่คนใดเป็นผู้วิเศษ ที่สามารถกำหนดชะตากรรมทุกสิ่งทุกอย่างได้ เช่นเดียวกับ ไม่มีตำราคู่มือเล่มใดเป็นสูตรสำเร็จ
ให้ถือเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ มุมมอง ระหว่างกัน
ผมของแนะนำให้อ่าน “อุ้มลูกโอบโลก” ของ “กอนกูย กฤษฎา สุนทร” ผู้เป็นกวี และพ่อ ผู้ไม่เพียร “อุ้มลูก” แต่ยังฝันจะ “โอบโลก”
ความหมายคือ การที่พ่อแม่ เลี้ยงลูกให้ดี ก็เท่ากับ “โอบโลก” นั่นเอง
เลี้ยงลูก ก็เท่ากับเลี้ยงโลกนั่นแหละครับ
---------------------
(ศิลป์แห่งแผ่นดิน : อุ้มลูกโอบโลก : โดย...ศักดิ์สิริ มีสมสืบ)