ไลฟ์สไตล์

แร่ร้อน @ แร่นอง

แร่ร้อน @ แร่นอง

26 พ.ค. 2556

แร่ร้อน @ แร่นอง : คอลัมน์ชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง / ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์

                พูดถึงเมือง(แห่ง)แร่ ที่มีการทำแร่ และการค้าแร่รุ่งเรือง มีอยู่หลายเมืองทางใต้ที่ขึ้นชื่อ รวมถึงจังหวัดระนอง ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจังหวัดแห่งการทำแร่ จนเรียกกันว่า เมืองแร่นอง เพราะมีการทำแร่ทุกอำเภอ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น ระนอง ในปัจจุบัน ทุกวันนี้ถ้าได้มีโอกาสเดินทางไปจังหวัดระนอง โดยรูปแบบของนักเดินทางท่องเที่ยวป่าเขา ก็จะได้เห็นเหมืองแร่ร้างอยู่หลายแห่ง เช่น ที่เหมืองโชน ในเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา จ.ระนอง รอยต่อกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง ของสุราษฎร์ธานี หรือเหมืองแร่ร้างในป่าแถบอำเภอกะเปอร์ รอยต่อกับจังหวัดชุมพร อันเป็นที่ตั้งของยอดเขาที่สูงสุดของระนอง คือยอดเขาพ่อตาโชงโดง

               ดูจากประวัติศาสตร์ การทำแร่เป็นอาชีพที่สร้างเมืองระนองมาแต่อดีต มาถึงวันนี้ แร่ก็ยังเข้ามาเกี่ยวพันกับชีวิตประจำวัน เป็นจุดขายและทำรายได้ให้แก่ระนองไม่น้อย ในรูปของบ่อน้ำพุร้อน หรือน้ำแร่ร้อน ซึ่งในอนาคตก็ยังเป็นอย่างนั้น ถ้ามีการดูแลรักษาเอาไว้ให้ดี

               จังหวัดระนอง หรือแร่นอง มีฉายา "เมืองฝนแปด แดดสี่" เพราะความที่เป็นจังหวัดอยู่ติดกับทะเลอันดามัน เลยได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มาก จัดอันดับเป็นจังหวัดที่มีฝนตกชุกที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะอย่างนั้นในวันที่กรุงเทพฯ หรือภาคอื่นร้อนตับแลบ แถบนี้อาจจะเจอฝนก็ได้ เหมือนเช่นวันที่ฉันมีโอกาสเดินทางไประนองอีกครั้ง แล้วคราวนี้จะเที่ยวในเมืองระนองนี่แหละ

               เมื่อก่อนไประนอง ต้องเดินทางโดยรถยนต์ หรือรถโดยสารประจำทาง แต่เดี๋ยวนี้สบายขึ้นสำหรับคนเวลาน้อยหรือไม่ชอบนั่งรถนาน เพราะสายการบินนกแอร์เพิ่งจะเปิดเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-ระนอง ไปเมื่อกลางเดือนพฤษภาคมนี่เอง ใช้เครื่องบินขนาดเล็ก 34 ที่นั่ง ของ นกมินิ วันละ 2 เที่ยวบิน เพิ่มจากเดิมที่มีเพียงสายการบินแฮปปี้ แอร์ ให้บริการอยู่ 

               ไปถึงเมืองระนองก็ต้องไปคารวะท่านเจ้าเมืองคนแรกของเมือง พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซูเจียง ณ ระนอง) เพราะท่านนี่เอง ทำให้เมืองนี้เจริญรุ่งเรืองจากแร่ "จวนเจ้าเมืองระนอง" ปัจจุบันจัดเป็นสถานที่เก็บรักษาป้ายวิญญาณบรรพบุรุษ คอซูเจียง เป็นชาวจีนฮกเกี้ยน อพยพเข้ามาประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 3 ทำการค้าที่เมืองตะกั่วป่า ก่อนจะย้ายไปตั้งหลักแหล่งที่พังงา ต่อเรือกำปั่นใบ วิ่งล่องค้าขายดีบุกและพืชผล เช่น รังนก พริกไทย จันทน์เทศ แลกเปลี่ยนกับข้าวของจำเป็นที่เกาะหมาก(ปีนัง) ต่อมาเห็นว่าเมืองระนองมีแร่ดีบุกมาก แต่คนขุดแร่มีน้อย จึงได้คิดทำเหมืองแร่ แล้วยังชักชวนคนอื่นเข้ามาทำด้วย

                จากคนทำเหมืองแร่ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนเป็นพระยารัตนเศรษฐี สำเร็จราชการเมืองระนอง ในสมัยรัชกาลที่ 4 ก่อนจะเลื่อนขึ้นเป็น พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี จางวางผู้กำกับราชการเมืองระนอง ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยคอซิมก๊อง บุตรชายคนโต ได้ขึ้นเป็น "พระยารัตนเศรษฐี" ผู้ว่าราชการเมืองระนอง แทนบุตรชายอีกคนของคอซูเจียงที่รู้จักกันดี คือ พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี หรือ คอซิมบี๊ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เป็นคนที่นำ ยางพารา เข้ามาปลูกในประเทศ และกลายเป็นไม้เศรษฐกิจที่ทำรายได้ให้ประเทศมหาศาลนั่นเอง ปัจจุบันมียางพาราคู่ที่คอซิมบี้ปลูก อยู่ในบริเวณจวนเจ้าเมืองระนองนี้ด้วย

               สถานที่สำคัญอีกแห่งของระนอง ก็คือ พระราชวังรัตนรังสรรค์ ซึ่งเป็นพระราชวังที่รองรับการเสด็จประทับแรมจังหวัดระนองของพระมหากษัตริย์ 3 พระองค์ ได้แก่ รัชกาลที่ 5 (พ.ศ.2433), รัชกาลที่ 6 (พ.ศ.2452) และรัชกาลที่ 7 (พ.ศ.2471) สร้างโดย คอซิมก๊อง เจ้าเมืองระนองในขณะนั้น เมื่อพระราชวังเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา จึงได้รับพระบรมราชานุญาตให้ใช้เป็นศาลารัฐบาล โดยได้ปรับปรุงและดัดแปลงใหม่ จนกระทั่งถูกรื้อถอนไปเมื่อปี 2507 แล้วสร้างศาลากลางขึ้นใหม่

               ปัจจุบัน จึงมีการจัดสร้าง พระราชวังรัตนรังสรรค์(จำลอง) ขึ้นบริเวณเชิงเขาใกล้ศาลากลางจังหวัดระนอง ตัวอาคารสร้างด้วยไม้ตะเคียนทอง โครงสร้างคอนกรีตสูงสามชั้น เป็นที่ประดิษฐานทั้งโต๊ะทรงอักษร รวมถึงเครื่องบรรทม หน้าต่างชั้นสองเห็นทัศนียภาพเมืองระนองไปได้กว้างไกล

               ไปถึงเมืองระนอง สิ่งหนึ่งที่ไม่น่าพลาด ก็คือ แวะไป บ่อน้ำพุร้อน ในตัวเมืองระนอง บริเวณสวนสาธารณะรักษะวาริณ เป็นบ่อน้ำร้อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีอุณหภูมิสูงถึง 65 องศาเซลเซียส มีด้วยกัน 3 บ่อ เป็นบ่อพ่อ บ่อแม่ และบ่อลูกสาว ทั้ง 3 บ่อนี้ มีการวิเคราะห์จากกรมวิทยาศาสตร์บริการว่า มีแร่ธาตุสำคัญ และไม่มีกำมะถันเจือปน ซึ่งเป็นเพียงไม่กี่แห่งในโลกที่ไม่มีกำมะถันแบบนี้ 

               เมื่อก่อนฉันเห็นบ่ออยู่โดดเด่นกลางธรรมชาติ แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งก่อสร้าง ขึ้นมาตกแต่งสถานที่ให้ดูสวยงาม เสียดายแต่สะพานไม้ข้ามธารน้ำของฉันกลับผุพัง รอการซ่อมแซม เลยอดถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แถมบริเวณใกล้เคียงมีสปาน้ำแร่เกิดขึ้นเป็นทิวให้เลือกใช้บริการ

               บ่อน้ำพุร้อนบ่อพ่อ เป็นบ่อปูนใหญ่ที่สุดใน 3 บ่อ มีไอขึ้นจากน้ำอยู่ตลอดเวลา ลองแตะๆ ขอบบ่อ ก็รู้สึกได้ถึงไอร้อน แต่ก็ชอบจังที่ไม่มีกลิ่นกำมะถัน รวมทั้งดูใสสะอาด ไม่มีสีหรือสาหร่ายเหมือนที่เคยเห็นในธรรมชาติ น้ำในบ่อพ่อจะล้นไหลปากบ่อตลอดเวลา จนเกิดการเกาะตัวของแร่แคลไซต์ ที่มีขนาดผลึกละเอียดมาก ส่วนบ่อแม่ กับบ่อลูกสาว น้ำจะต่ำกว่าปากบ่อพอสมควร และอยู่ออกมาด้านนอกสวนสาธารณะ

                เลยบ่อพ่อเข้าไปด้านใน เปิดเป็นบ่อสำหรับแช่ทั้งตัว หรือจะแช่เท้าก็มีบ่อเฉพาะให้ หรือไม่ไกลกัน มีโรงสำหรับเข้าไปนอนหรือเดินบนลานหิน เพื่อนวดตัว นวดฝ่าเท้า จากลานหินที่ได้ไอร้อนของน้ำแร่ร้อนด้านใต้ มีคนเข้าปูผ้านอนอ่านหนังสือ บางคนเผลอหลับไปก็มี แต่ที่นี่เขาห้ามนอนเกิน 30 นาที เพราะอาจจะหน้ามืดได้

               นอกจากบ่อน้ำพุร้อนที่นี่แล้ว เลยจากตัวเมืองไปทางน้ำตกหงาว ราว 10 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของบ้านพรรั้ง ต.บางริ้น ที่นี่ก็มีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติเช่นกัน อยู่ในเขตที่ตั้งของที่ทำการหน่วยย่อยของอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว ชื่อก็เรียกขานกันตามชื่อหมู่บ้าน คือ บ่อน้ำพุร้อน พรรั้ง เสียค่าธรรมเนียมคนละ 20 บาท ราคาเดียวกับค่าเข้าอุทยานทั่วๆ ไป มีเจ้าหน้าที่อุทยานมาคอยดูแล  

               น้ำพุร้อนที่นี่เกิดจากสายน้ำแร่ร้อนไหลซึมออกจากผิวดิน มีตาน้ำมากถึง 13 ตาน้ำ ใกล้ลำธาร ไม่มีกลิ่นกำมะถัน แถมอุณหภูมิของน้ำก็ไม่ร้อนนัก คือ ราวๆ 35-40 องศาเซลเซียส พอแช่ได้สบายๆ ที่นี่มีทั้งบ่อลงแช่แบบจากุชชี่อยู่ 4 หลัง และบ่อแบบยืนตักอาบ 4 บ่อ หรือใครจะอยากสปาเท้าก็ง่ายมาก นั่งริมธารน้ำ จะมีปลาตัวเล็กๆ มาตอดเท้า เป็นสปาปลาธรรมชาติ

               ที่ขึ้นชื่ออีกอย่างของคนที่มาที่นี่ คือ ไข่น้ำแร่ ที่ใช้ไข่ไก่แช่น้ำแร่นานถึง 18 ชั่วโมง ถึงจะได้แบบไข่ขาวที่ไม่สุกมากและไข่แดงเป็นยางมะตูม อร่อยได้ในราคา 7 บาท แถมไม่มีกลิ่นกำมะถันกวนใจ 

               ป้ายถนน หลักกิโล รถโบราณ ร้านกาแฟ เดี๋ยวนี้ไปเมืองไหนๆ ก็มักจะเจอ จนไม่เกิดความแตกต่าง แต่บ่อน้ำแร่ร้อนของจริง ให้ตายยังไงก็เลียนแบบกันยาก และยังคงเป็นทั้งเอกลักษณ์และสัญลักษณ์ของเมืองระนอง อยู่เพียงแห่งเดียว

 

.................................................

(แร่ร้อน @ แร่นอง : คอลัมน์ชวนเที่ยว  : โดย...เรื่อง /  ภาพ : นพพร  วิจิตร์วงษ์)