ไลฟ์สไตล์

'ควบรวม'ร.ร.ขนาดเล็ก:อยู่ที่บริหารคุณภาพการเรียนการสอน

'ควบรวม'ร.ร.ขนาดเล็ก:อยู่ที่บริหารคุณภาพการเรียนการสอน

15 พ.ค. 2556

'ควบรวม'โรงเรียนขนาดเล็ก:อยู่ที่บริหารคุณภาพการเรียนการสอน : สุทธิชัย หยุ่น


              ข่าวคราวเรื่อง “ยุบโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศ” ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง

              และดูเหมือนว่าเสียงวิพากษ์เหล่านั้นจะอยู่บนความเข้าใจที่ว่าเป็นการ “ยุบ” โรงเรียนใดที่มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน โดยไม่มีเงื่อนไข

              แต่ฟังรัฐมนตรีศึกษาฯ พงศ์เทพ เทพกาญจนา อธิบายว่า ไม่ใช่เป็นการ “ยุบไปเลย” หากแต่เป็นเรื่อง “ยุบรวม” หรือไม่ก็ “ควบรวม” ซึ่งแปลว่า เด็กที่เรียนอยู่ในโรงเรียนเล็กๆ เหล่านี้

              “อย่างไรเสียก็มีที่เรียน และครูก็มีงานทำ ผู้อำนวยการและคนทำงานในโรงเรียนเหล่านี้ ก็ยังมีงานทำเหมือนเดิม”

              รมต.ศึกษาฯ ชี้แจงว่า ที่ต้องคิดเรื่องนี้ เพราะว่าคุณภาพของการศึกษาในโรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยมากๆ นั้น เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของประเทศ “ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น”

              โรงเรียนเล็กๆ เหล่านี้ บางโรงเรียนมีนักเรียนน้อยกว่า 20 คน (ประมาณ 700 โรงเรียน) และที่มีนักเรียนระหว่าง 21-40 คน (ประมาณ 2,000 โรงเรียน) และ ระหว่าง 41-60 คน (ประมาณ 3,000 โรงเรียน)

              ท่านบอกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ก็มีการ “ควบรวม” ลักษณะนี้ ไปแล้วกว่า 3,000 โรงเรียน แต่ไม่เป็นข่าวคราวอะไร เพราะว่าไม่มีการออกข่าวแบบครั้งนี้

              รมต.ศึกษาฯ บอกว่า เมื่อนักเรียนน้อย ก็ไม่สามารถส่งครูไปให้เพียงพอกับทุกชั้นปี เช่น โรงเรียนที่มีนักเรียน 25 คน อย่างมากก็มีครูได้เพียงสองคน ซึ่งอาจจะต้องสอน 6 ชั้นปีซึ่งทำให้สอนไม่ทั่วถึงและมีผลกระทบต่อคุณภาพของการเรียนของเด็ก

              คุณพงศ์เทพ บอกด้วยว่า รัฐบาลให้เงินสนับสนุนโรงเรียนเป็นรายหัวนักเรียน ดังนั้น หากมีจำนวนนักเรียนน้อย โรงเรียนนั้นก็มีงบประมาณน้อยตามไปด้วย ไม่สามารถไปซื้ออุปกรณ์การศึกษาที่ดีๆ ให้นักเรียนได้ เพราะงบส่วนใหญ่จะเป็นค่าจ้างครูมากกว่า

              แต่แน่นอนว่า โรงเรียนขนาดเล็กๆ บางแห่ง ก็สามารถบริหารเป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพได้ เพราะชุมชนท้องถิ่นช่วยเหลือกันคนละไม้คนละมือ ซึ่งรัฐมนตรีศึกษาฯ ก็บอกว่าในกรณีนั้น ก็จะต้องส่งเสริมให้ดียิ่งขึ้น ไม่เข้าข่ายถูก “ยุบรวม” หรือ “ยุบควบ” แน่

              หรือหากว่าโรงเรียนเล็กแห่งนั้นตั้งอยู่ไกล เช่น อยู่บนเขา หากต้องโอนเด็กนักเรียนไปเรียนโรงเรียนอื่นๆ ก็มีปัญหา เช่นนี้โรงเรียนนั้นก็ต้องอยู่ต่อไป ไม่อาจจะเข้าเกณฑ์ถูกยุบเช่นกัน

              หรือบางโรงเรียนเล็กๆ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีเหตุผลเฉพาะของตนที่จะต้องอยู่ที่นั่นและไม่อาจจะย้ายนักเรียนไปที่อื่นได้ เช่นนี้ก็ควรจะต้องอยู่ในสภาพเดิมต่อไป

              ดังนั้น ประเด็นของนโยบายเรื่องนี้ จึงควรจะได้รับการชี้แจงอธิบายให้ชัดแจ้งกับประชาชน ว่า การจะยุบรวมโรงเรียนเล็กแห่งใดนั้น ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็จะมีคำสั่งออกไปว่าโรงเรียนไหนมีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน จะต้องถูก “ยุบ” ไปเลย

              การตัดสินใจจะต้องอยู่บนพื้นฐานของการร่วมกันพิจารณาของชุมชนนั้นๆ ว่า คุณภาพของนักเรียน และครูมีปัญหาเพราะขนาดหรือไม่ และเห็นสมควรที่จะมีการยุบรวมกับโรงเรียนอื่นๆ ใกล้เคียงเพื่อให้เด็กๆ ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

              แต่รัฐต้องจัดระบบการขนส่งให้เด็กนักเรียนไปมาโรงเรียนที่ “ควบรวม” เพื่อไม่ให้เด็กที่บ้านอยู่ไกลไม่ได้ไปโรงเรียน เพราะว่าโรงเรียนแห่งใหม่ไกลเกินกว่าที่จะเดินทางไปเช้าเย็นกลับได้

              สูตรที่เกิดขึ้นมาแล้วบางอำเภอเอาสองสามโรงเรียนที่อยู่ใกล้กันมา “ควบ” กัน แปลว่า โรงเรียนหนึ่งแทนที่จะสอน 6 ชั้นปี อาจจะสอน 2 ชั้นปี และโรงเรียนที่เหลือก็แบ่งไปสอน เช่น เด็ก ป.1 ก็ไปเรียนด้วยกัน จำนวนเด็กต่อห้องก็เพิ่มขึ้น อาจจะเป็น 15-20 คน แทนที่จะมีเพียง 3-4 คน ซึ่งก็จะทำให้ครู ป.1 ดูแลนักเรียนทั้งห้องได้ทั้งชั่วโมงเต็ม ไม่ต้องวิ่งรอกไปห้องเรียนอื่นๆ อย่างที่เคยต้องทำ

              ประเด็นก็คือว่าผู้ปกครองต้องพอใจว่าลูกหลานของตนเองได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น เพราะหากว่า “ควบรวม” นอกจากจะเกิดความไม่สะดวกในการเดินทางไปโรงเรียนแล้ว คุณภาพการเรียนการสอนก็แย่ลงด้วย อย่างนี้หากเดินหน้า “ควบรวม” ก็ต้องมีการคัดค้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

              ดังนั้น เรื่องของเรื่องจึงเป็นประเด็นการ “บริหารจัดการ” ขนาดของโรงเรียน เพื่อประสิทธิภาพและคุณภาพ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเคารพในความเป็นชุมชน เพราะว่าโรงเรียนเล็กที่มีเด็กเพียง 60 คน และครูสองสามคนก็ไม่ได้แปลว่าไร้มาตรฐาน ขณะเดียวกัน โรงเรียนใหญ่ที่มีนักเรียนเป็นร้อยเป็นพัน หากว่าไม่มีวิธีการบริหารที่ถูกต้อง ก็อาจไม่ได้มาตรฐานเช่นกัน

              ผมจึงเห็นว่าเรื่อง “ยุบ” หรือ “ไม่ยุบ” ไม่ใช่ประเด็น แต่อยู่ที่ความสามารถในการ “บริหารจัดการ” โรงเรียนจังหวัดห่างไกลที่เสียเปรียบโรงเรียนในเมืองอยู่แล้ว จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนและความเข้าใจมากกว่าเดิม อีกทั้งต้องให้ผู้ปกครองและชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการตัดสินอนาคตการศึกษาของเยาวชนในแต่ละท้องถิ่นมากขึ้นกว่าเดิม

              “ขนาด” ของโรงเรียน อาจจะไม่สำคัญเท่ากับ “ความสามารถในการบริหาร” ของผู้รับผิดชอบระบบการศึกษาท้องถิ่น ที่จะต้องร่วมมือกับเอกชน และสอดประสานกับความต้องการของท้องถิ่นนั้นๆ ด้วย

..............

(หมายเหตุ : 'ควบรวม'โรงเรียนขนาดเล็ก:อยู่ที่บริหารคุณภาพการเรียนการสอน : สุทธิชัย หยุ่น http://www.oknation.net/blog/black/2013/05/15/entry-1)