ไลฟ์สไตล์

บำเรอใจใน “เบอร์ลิน”

บำเรอใจใน “เบอร์ลิน”

06 มิ.ย. 2552

คงไม่ใช่ฉันคนแรก ที่เกิดอาการหลงใหลเบอร์ลิน (Berlin) จนผัดวันประกันพรุ่ง เมื่อบทจะต้องบอกลานครหลวงแห่งเยอรมนี

 จากที่วางแผนนอนค้างอ้างแรมแค่ 2 คืน ทำไปทำมา ก็รื้อปรับขยับเพิ่มเป็น 3  แล้วก็เป็น 4 และเป็น 5 คืนในที่สุด  จนแม่สาวรีเซฟชั่นของเรือนพักรังหนูชื่อ Dark Hostel กลางมหานครเบอร์ลินอดขำไม่ได้  เธอแอบกระเซ้าว่า  "ฉันว่าคุณคงหลงรักเบอร์ลินเข้าเต็มเปาแล้วล่ะ..."

 ก็เบอร์ลินนั่นแหละตัวดี ทำให้ฉันกลายเป็นคน ”ใจแตก” และ ”ใจง่าย”
 มีใครไม่เอ็นดูเบอร์ลินบ้าง ต้องถามอย่างนั้นดีกว่า  แม้ว่าโดยส่วนตัวจะเป็นพวกเมินเมืองใหญ่ แต่เบอร์ลินมีดีเกินกว่าจะเชิดใส่

  พูดก็พูดเถอะ เมืองรุ่มรวยประวัติศาสตร์อย่างเบอร์ลิน เที่ยวแค่วันสองวันก็จะออกแนวโฉบหรือชะโงกไปสักหน่อย  กับเมืองที่เต็มไปด้วยริ้วรอยประวัติศาสตร์ ฉันไม่อยากรู้จักอย่างฉาบฉวย  4-5 วันที่นั่น จึงเป็นการเที่ยวที่อนุญาตให้ตัวเองเทียวไปเทียวมาในสถานที่อันอุดมไปด้วยเรื่องราวในอดีตของเยอรมนี

 ก็เหมือนกับหลายๆ ครั้งที่บินไปยุโรปด้วยสายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ สายการบินที่ยังคงไว้เนื้อเชื่อใจเรื่องบริการและความสะดวกสบายได้เสมอ กาตาร์ แอร์เวย์มีเที่ยวบินไปเบอร์ลินทุกวัน (ถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0-2259-2701-3) จากกรุงเทพฯ เรือบินจะพาไปหย่อนที่โดฮาก่อน ให้ยืดเส้นยืดสายสักพัก ก็เหินฟ้าต่อไปหาเบอร์ลิน และเพราะถือตั๋วรถไฟ ”ยูเรลพาส” ที่ใช้สัญจรในยุโรป เลยใช้บริการรถไฟสาย S-Bahn จากสนามบินเข้าสู่ตัวเมืองเบอร์ลินได้ฟรีๆ

  ใครๆ ก็เริ่มต้นเที่ยวเบอร์ลินกันที่ประตูบรันเดนเบิร์ก (Brandenburg Tor) เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ควรแหกกฎ ฉันเองก็ไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวสัญลักษณ์ของเบอร์ลินตั้งแต่แรกย่ำกรุงเบอร์ลิน และไปนั่งทอดหุ่ยอยู่แถวนั้นอีกหลายครั้ง

  ไม่ได้ไปชมความงามของเทพีแห่งชัยชนะที่นั่งรถม้าอยู่บนประตู  แต่ไปทอดสายตาดูผู้คนที่เคลื่อนผ่านไปมา จึงพบว่านักท่องเที่ยวที่มาเบอร์ลินล้วนจับประตูบรันเดนเบิร์กใส่เฟรม พากลับไปเที่ยวบ้านเกิดของตัวเองกันแทบทั้งสิ้น

 อาคารรัฐสภาที่มีโดมแก้วอยู่ข้างบน เป็นอีกมุมของเบอร์ลินที่จัดว่าเนื้อหอมสุดๆ ผู้คนต่อคิวกันยาวเหยียดเพื่อขึ้นไปชมโดมแก้วที่อยู่ด้านบนของอาคาร อาจจะเป็นเพราะการท่องเที่ยวเบอร์ลินใจดี ไม่คิดค่าเสียหายในการเข้าชม ผู้คนเลยแห่แหนกันไปชมเพียบ

 แต่มุมที่ผู้คนไม่เคยบางตา น่าจะเป็นด้านหน้ามหาวิหารเบอร์ลิน (Berlin Dom) ยิ่งเป็นเดือนที่ลมร้อนเพิ่งพัดมาสะกิดผิว  ชาวเบอร์ลินยิ่งออกมานอนกลิ้งเกลือกกันบนสนามหญ้าของสวนลุสท์ (Lustgarten) หลายวันในเบอร์ลิน ทำให้พบว่า แดดยิ่งจัดจ้านเท่าไหร่ ยิ่งขับไล่ผู้คนให้ออกจากบ้านมานอนเอกเขนกกันแถวนี้

 ฉันเองก็มานั่งหย่อนอารมณ์แถวนี้อยู่บ่อยๆ เรียกว่าเป็นย่านแห่งความสุนทรีย์เลยก็ว่าได้  เพราะใกล้ๆ กันเป็น ”เกาะพิพิธภัณฑ์” ที่มีพิพิธภัณฑ์ชื่อดัง 4-5 แห่ง เอาไว้ให้คนโปรดปรานศิลปะและประวัติศาสตร์ได้เข้าไปสืบสาวราวเรื่องในอดีตอันปวดร้าวของชาวเยอรมัน

 สำหรับคนมีเวลาน้อย แนะว่า พิพิธภัณฑ์บ็อด (Bode Meseum) เป็นแห่งเดียวที่ไม่ควรพลาด  ยิ่งเวลาเย็นย่ำคืบคลานมาถึงเมื่อไหร่ รายรอบเกาะพิพิธภัณฑ์จะเสิร์ฟความสุนทรีย์ให้แก่ทุกคน  ไม่ว่าเดิมคุณจะรักหรือชังพิพิธภัณฑ์ก็ตามที  แต่ถ้ามานั่งแถวคาเฟ่แถวพิพิธภัณฑ์บ็อดในช่วงที่แสงหวานฉ่ำ  เอาหัวเป็นประกันว่าจะหลงรักเบอร์ลิน

  เพราะไม่ได้มีคาเฟ่เอาไว้ให้วัยรุ่นนั่งชิลๆ กันริมแม่น้ำอย่างเดียว แต่บางคาเฟ่จะเปิดเพลงเอาไว้ให้คนรุ่นราวคราวลุงป้าได้เต้นรำกันริมแม่น้ำอย่างครื้นเครง

  ในพิกัดใกล้ๆ กัน หากเป็นวันเสาร์-อาทิตย์  ตลาดนัดขายงานศิลปะ และตลาดนัดของเก่าจะปรากฏตัวตั้งแต่ 5 โมงเช้าไปจนถึง 5 โมงเย็น ให้คนรักศิลปะได้กรี๊ดกันกระจาย พร้อมกับระบายเงินยูโรในกระเป๋าอย่างมันมือ

  พอค่ำคืนเดินทางมาถึงเมื่อไหร่ นักท่องเที่ยวจะออกไปหามุมดินเนอร์กัน และผลจากการสิงสถิตอยู่หลายวันในเบอร์ลิน ทำให้ฉันรู้ว่า ไม่มีที่ไหนเหมาะจะดินเนอร์อย่างเด็ดดวงได้ดีเท่ากับแถวฮัคเคอร์เชอร์ (Hackescher) อีกแล้ว แค่ลงรถไฟที่สถานีฮัคเคอร์เชอร์ร้านรวงละลานตาจะดาหน้ามาให้เราเลือก

 แสงนีออนที่อาบไล้เบอร์ลิน เสียงดนตรีตามซอกตึก และสถานที่ที่กลิ่นอายของความปวดร้าวในอดีตยังลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ  เคล้ากันแล้ว เหนี่ยวให้ฉันเนิบนาบเที่ยวเบอร์ลินอยู่หลายวัน จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการเดินทางที่มาบำเรอใจในเบอร์ลิน

"กาญจนา พงษ์ทอง"