ไลฟ์สไตล์

'สันเย็น'ป่าซับน้ำแดนใต้

'สันเย็น'ป่าซับน้ำแดนใต้

21 เม.ย. 2556

'สันเย็น' ป่าซับน้ำแดนใต้ : คอลัมน์ชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง / ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์

                ร้อน แล้ง มานานทีเดียว แต่สงกรานต์ที่ผ่านมา ก็เป็นฤกษ์งามยามดีที่จู่ๆ ฝนก็โปรยปราย ให้ชุ่มฉ่ำกันไปทั่วหน้า ไม่เว้นแม้กระทั่งป่าใต้ ที่ยามนี้ถือเป็นหน้าร้อน ฝนน้อยของทางนั้น แต่อากาศในราวไพรยามพลบค่ำก็เยือนเย็นไม่มีเปลี่ยนแปลง จนแทบลืมไปเลยว่า นี่คือหน้าร้อนนะ

                นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไปเยือนดินแดนป่าชุ่มน้ำ ที่ชื่อว่า "สันเย็น"  หุบเขาที่มีสันยาว เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขานัน ต.กรุงชิง อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช  เป็นป่าที่มีความหลากหลายของพันธุ์พืช และพันธุ์สัตว์  ทั้งติดอันดับป่าโหดในเรื่องของเส้นทาง และทากตรึม ชนิดที่ว่า คนกลัวทากก็ต้องกล้าจับ เพราะรอเพื่อนจับไม่ทันแน่  

                จากกรุงเทพฯ ไปถึง อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ฝนตกหนักรออยู่ที่นั่น แต่ก็ยอมผ่อนเหลือแค่เบาๆ ยามเช้าตรู่ ให้เราเข้าไปซื้อของเตรียมเสบียงที่ตลาดสดท่าศาลา ก่อนจะเดินทางต่อไป ที่บ้านปากลง กรุงชิง  

                เข้าเขต บ้านปากลง ... ทันที ที่รถเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าบ้านคนนำทาง ทักทายกันเหมือนคุ้นเคย

                "พี่มาที่ไร พาฝนมาด้วยเลยนะ" ถ้อยคำทักทาย เล่าขานสู่กันฟัง ระหว่างเตรียมตัว เพื่อเดินทางสายป่ากันทันที ทั้งๆ ที่ฝนยังโปรยลงมานั่นแหล่ะ

                แค่เริ่มต้นก็ทุลักทุเลซะแล้ว เพราะรถไปส่งได้แค่ริมธารน้ำ พวกเราเลยต้องเริ่มขึ้นเป้ตั้งแต่ยังไม่ถึงจุดขึ้นเป้ราว 200 เมตร ข้ามน้ำกัน 2 ยก ถึงได้ค่อยได้ขึ้นเนินป่ายาง

                "อีกแล้วเหรอ" ฉันคิดในใจ ก็ป่ายางเนี่ยะ ทั้งชัน ทั้งลื่น ขาขึ้นไม่เท่าไหร่ แต่ขาลงนี่ซิ ยังจำได้ดีถึงเมื่อคราวเดินตากฝนลงมา แทบถอดใจทีเดียว

                จุดที่ตัดขึ้นป่ายาง ชันเอาเรื่องแม้จะไม่ไกลนัก ก็เลี้ยวเข้าชายป่า ฝนก็ยังตกปรอยๆ เดินกันจนน้ำฝนไหลตามสายเป้ลงมาฉ่ำหลัง มาป่าแบบนี้ข้าวของในเป้ต้องแพ็กใส่ถุงพลาสติกกันน้ำอีกที เป้ที่บอกว่ากันน้ำทุกยี่ห้อ อาจจะกันได้ระดับหนึ่ง แต่อย่าเผลอไปเชื่อเป็นดีที่สุด เพราะเอาเข้าจริง เสื้อใส่นอน ถุงนอน เปล อาจจะเปียก จนต้องทนนอนในเสื้อผ้าเปียกชื้นไปจนวันกลับ

                ตอนที่เริ่มขึ้นเป้ ก็ปาเข้าไป 11 โมงแล้ว จนเพื่อเอ่ยปากว่า พวกเรามัน "สายอาชีพ" คือกว่าจะขึ้นเป้ออกเดินทางได้ก็เมื่อตะวันสายโด่งนั่นแหล่ะ ฮา

                เข้าราวป่า เจอฝนแบบนี้ แรกๆ ยังเดินกันแบบเย็นชุ่มฉ่ำ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงหอบหายใจแรงๆ ในคราวที่ต้องเดินขึ้นควน หรือเนินเขา แต่พอหยุดเดินเมื่อไหร่ ก็หนาวขึ้นมาทันที จนบ่ายกว่าๆ ถึงได้พักกินข้าวเที่ยงมื้อง่ายๆ ที่ติดมาจากตลาดท่าศาลา ข้าวเหนียว-ไก่ย่าง, หมูย่าง พักกันพอแรงมา ก็ออกเดินกันอีกที คราวนี้ เสียงผู้นำทริปบอก เราจะไปให้ถึงห้วยทรายขาว

                ตะวันคล้อยบ่าย ผ่านเขามาราว 2-3 ลูก เข้าสู่ทางชัน ที่ฉันรู้สึกว่ามันน่าจะชันที่สุดแล้ว ขึ้น เขากระทะ ที่ชาวบ้านเรียกจากรูปทรงที่เห็น เหมือนกะทะใบบัวคว่ำอยู่ โชคดีที่ไม่ต้องเดินขึ้นถึงยอด แค่เฉียดๆ หูกระทะ ก็ตัดเลาะข้างเขาไปอีกฝั่ง ปกติเขาลูกนี้ ชุมไปด้วยทาก ขนาดต้อง 2 คนช่วยกันจับออกจากตัว แต่มาคราวนี้ กลับน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ คงเพราะแล้งน้ำมานาน ถึงจะเดินกลางฝนแบบนี้ แต่ทากคงหลบร้อนลงไปอยู่ลึก กว่าจะกระดื๊บขึ้นมา เมื่อเรดาห์จับแรงสะเทือนจากการเดินและฝน พวกเราก็ผ่านไปไกลแล้ว

                ลงจากเขากระทะ ตัดขึ้นเนินเล็กๆ อีกลูก แต่สำหรับคนที่อ่อนแรง เนินเล็กก็กลายเป็นเรื่องยากทีเดียว กว่าจะต้านแรงโน้มถ่วงของโลกขึ้นไปได้ ฉันเดินปิดท้ายตามเคย ถ่ายรูปแค่ข้ออ้าง แต่พักเหนื่อยนี่ซิของจริง 555

                จนเย็นถึงได้เหยียบย่างถึงสันเขา ชายป่าสันเย็น เป็นทางราบ เดินสบาย แล้วก็ถึงน้ำตกเล็กๆ ที่มีน้ำไหลเซาะซอกหินตลอดเวลา แต่น้ำน้อยมาก เมื่อเทียบกับช่วงปีใหม่ที่ยังมีฝนชุก แม้จะไม่ใช่จุดตั้งแคมป์ห้วยทรายขาว แต่ทุกคนก็ลงความเห็นกันว่า พักเถอะ

                คนนำทางและลุกหาบช่วยกันตั้งแคมป์กองกลาง ส่วนพวกเราก็จัดแจงกางเปล ทำที่หลับที่นอนของตัวเอง แข่งกับความมืดที่คืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว  ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียกความอบอุ่นให้ร่างกาย ก่อนจะมาช่วยกับทำกับข้าวมื้อเย็นแบบง่ายๆ  คืนนี้ฉันเองทั้งเหนื่อย ทั้งขี้เกียจ เลยลงความเห็นว่าควรยุติความกลัวทากไว้ชั่วคราว เพราะจะนอนใต้ฟรายชีตกองกลางนี่แหล่ะ ไม่ต้องกางเปล ไม่ต้องเก็บ และที่สำคัญไม่ต้องเปียกให้ต้องแบกหนักในวันรุ่งขึ้น

                รุ่งเช้า กับเสียงก๊อกแก๊กต้มน้ำชงกาแฟ ปลุกฉันที่อยู่ใกล้ที่สุด ขึ้นมาหากาแฟอุ่นๆ จิบ ก่อนจะจัดแจงกับมื้อเช้าและเก็บแคมป์ เพื่อเดินทางกันต่อตามแบบฉบับสายอาชีพ เป้าหมายของวันนี้ เป็นป่าโบราณที่สวยงามแห่งสันเย็น เดินไม่ยาก แต่ระยะไกล ทากเยอะเจอแทบทุกไซส์ เจอกล้วยไม้ดิน "นางอั้ว" ทักทายแทบตลอดทาง จากตื่นเต้นหยุดถ่ายรูปช่วงแรกๆ กลายเป็นก้าวผ่าน ราวกับดอกไม้ริมทาง สักพักเพื่อนร้องเรียกเสียงตื่นเต้น เจอ "เอื้องนกกระเรียน" แต่อยู่ในคบไม้ค่อนข้างสูง แสงน้อย ขาตั้งกล้องก็ไม่ใช้ เลยได้มาแบบหวั่นไหว ให้ดูกันใน ISnap แล้วกัน

                วันนี้เดินกันสบายๆ ยกเว้นเรื่องทากที่ชุมเหลือหลาย แถมด้วยรอยเท้าช้างขนาดใหญ่มาก ทำเอาขาฉันติดหล่มโคลนในรอยเท้าถึงเหนือเข่า ดึงยังไงก็ไม่ขึ้น ต้องถอดรองเท้าแล้วค่อยเอามื้อควานไปดึงรองเท้าขึ้นมาอีกที ... เกือบเย็นก็ถึงที่หมายคืนที่สอง วันนี้ฉันผูกเปลนอนใกล้ธารน้ำเล็กๆ กลางคืนได้ยินเสียงลมแรงพัดน้ำค้างใบไม้ร่วงกราว กับฝนปรอยเป็นบางช่วง แต่ให้ตายเถอะตื่นเช้ามา ธารน้ำใกล้เปลฉัน เหลือแต่ทรายแห้งๆ โธ่...ที่แท้มันเป็นทางน้ำไหล พอขาดฝนป่าก็ดูดน้ำไปกักเก็บไว้จนหมด จนฉันนึกทึ่งในความเป็นไปของธรรมชาติจริงๆ

                 หลังจัดการมื้อเช้าเสร็จ พวกเราจะเดินขึ้นยอดสันเย็น ไปดูป่าดิบและกล้วยไม้งาม สบายหน่อยที่ไม่ต้องแบกเป้นี่แหล่ะ เดินตามกันไป ไต่สันเขาไม่มากนัก ข้ามเนิน ข้ามน้ำอีก 2 ครั้ง ก็เข้าเขตป่าโบราณสันเย็น ที่เชื่อมต่อกับเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี ป่าดิบๆ ผืนใหญ่ ที่สวยงาม เสียงนกนานาชนิดร้องทักทาย

                เอื้องสายเสริฐ  มีให้เห็นรายทาง แม้ไม่มากแต่ก็ตื่นเต้นทุกทีที่เจอ แล้วยังได้เจอดอกไม้แปลกๆ ที่ไม่รู้ชื่ออีกหลายอย่าง และแน่นอน ... ราชินีแห่งป่าใต้ "รองเท้านารี คางกบใต้" ที่เฉิดฉายให้เห็นตั้ง 2 ดอก แม้ไม่เป็นดง แต่ฉันยอมฝ่าดงทากและความเหน็ดเหนื่อย เพียงเพื่อมาดูมันอยู่กับผืนป่ามากกว่าในร้านขายต้นไม้ในเมือง

                 จนท้องหิวเมื่อเวลาค่อนบ่าย ถึงได้เดินกลับแคมป์มาจัดการข้าวเที่ยง แต่เพราะเตรียมข้าวสารไปไม่มากพอ ทำให้ต้องปรับแผน และลงเอยว่า เราจะกลับทางเดิม ที่ชัวร์กว่า ข้าวกินกันแต่น้อย เน้นกับข้าวแทนแล้วกัน

                พวกเราเดินย้อนกลับทางเก่า โชคดี ฝนไม่ตก เทรลเดินแทบไม่เหลือร่องรอยว่าผ่านฝนมาไม่นาน รวมถึงเส้นทางขากลับที่ย้อนทางเดิมก็แห้ง ต้นไม้ มอส เฟิน เก็บน้ำกันเงียบกริบ ทำตัวเหมือนพร้อมจะรับน้ำฝนรอบใหม่ได้อีกมาก นี่แหละ...ความมหัศจรรย์ของผืนป่าใหญ่ที่อุดมไปด้วยต้นไม้หลากหลาย ที่คอยช่วยกันดูดซับน้ำ เหมือนฟองน้ำขนาดมหึมา ถ้าฝนไม่ตกมาลงอย่างหนักขนาด 3 วัน 3 คืน โอกาสจะเกิดน้ำหลากลงมาข้างล่างก็น้อยนัก

                ป่าสันเย็น ... นอกเหนือจะเย็นสมชื่อแล้ว ยังอุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิตหลากหลาย ที่กอปรกันขึ้นเป็นผืนป่าซับน้ำผืนใหญ่แห่งภาคใต้ ที่ทำให้ฉันหลงรัก หลงใหล และเป็นป่าที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้ให้ดี 

 

 ..................................................................

('สันเย็น' ป่าซับน้ำแดนใต้ : คอลัมน์ชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง / ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์)