ไลฟ์สไตล์

เขาสองนม ... ยอดเขียวแห่งเขาหลวง

เขาสองนม ... ยอดเขียวแห่งเขาหลวง

31 มี.ค. 2556

เขาสองนม ... ยอดเขียวแห่งเขาหลวง : คอลัมน์ชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง / ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์

                ร้อนจริง ร้อนจัง ไปทางไหนก็ได้ยินเสียงคนบ่นเรื่องอากาศร้อน คนชอบเที่ยวอย่างฉัน พอเห็นแดดจัดๆ ก็เหมือนว่าจะดี เพราะถ่ายรูปสวย แต่ต้องแลกมาด้วยความร้อนแล้ง ซึ่งไม่ชอบเอาซะเลย หลายคนเลือกหนีไปพึ่งเย็นในต่างประเทศ แต่ฉันว่า หนีเข้าป่าเมื่อไทยก็หนาวสุดขั้วแล้วล่ะ เพราะอาจได้เจอทั้งลม ทั้งฝน และแน่นอน ความเย็นยะเยือกเมื่อดวงอาทิตย์ลับฟ้า แต่จะเป็นที่ไหน ... ถ้าไม่ใช่ เขาหลวง แห่งนครศรีธรรมราช

                เขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดเป็นเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อปลายปี 2517 ครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอ เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ป่าดิบเขาที่มีความชุ่มชื้น อุดมไปด้วยความหลากหลายของพืชพันธุ์ สัตว์ป่า และทาก

                 ช่วงจังหวะดีของการเที่ยวเขาหลวง ต้องไปตอนหน้าร้อนมาเยือน เพราะจะเป็นฤดูกาลที่เขาหลวงเดินง่ายที่สุด และฝนน้อยที่สุด และโชดคดีที่สุดที่เราจะได้เจอกล้วยไม้ป่าสวยๆ โดยเฉพาะกล้วยไม้เฉพาะถิ่นของเขาหลวงแห่งนี้ หรือดอกไม้ดินเล็กๆ สีสันสวยงาม กับมอสชุ่มๆ

                นัดแนะพลพรรครักเดินป่าได้ 3 คน แบกเป้ขึ้นรถทัวร์มุ่งหน้านครศรีธรรมราช หลับเอาแรงกันบนรถ ไปตื่นเช้าที่ขนส่งนครศรีธรรมราช นัดคนนำทาง "เล็ก คีรีวง" มารับ พร้อมกับแวะซื้อเสบียงกันเสร็จสรรพ ก็มุ่งหน้าไปบ้านของเล็ก ที่อยู่หมู่บ้านคีรีวง อ.ลานสกา จุดเริ่มต้นของการเดินทางสายป่าที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้

                จริงๆ ยอดที่ฮิตๆ ของเขาหลวง ก็มีทั้งยอด 1,600 ม. ยอดฝามี , ผาเหยียบเมฆ ที่ขึ้นได้ทั้งฝั่งหมู่บ้านวังลุง อ.พรหมคีรี และน้ำตกอ้ายเขียว  หรือยอดพรหมโลก อ.พรหมคีรี, ยอด 1,835 ม. คีรีวง(ยอดสูงสุด) อ.ลานสกา และยังมียอดอื่นๆ ที่ใช้ระยะเวลาเดินไกลขึ้น และเป้าหมายของฉันทริปนี้ อยู่ที่ "ยอดสองนม" ที่เรียกตามรูปพรรณสัณฐาน ไม่รู้เหมือนกันว่าใครตั้งชื่อแฮะ

                ช่วงแรกของการเดินทางฝั่งคีรีวงผ่านสวนสมรม หรือสวนผลไม้ที่ผสมกันหลายชนิด โดยเฉพาะมังคุดที่ขึ้นชื่อก็อยู่ที่นี่แหละ แต่ด้วยระยะไกลและเป็นทางขึ้นเขา เราเลยย่นระยะด้วยการเช่ามอเตอร์ไซค์ ขึ้นไปส่งยังจุดเริ่มเดิน เป็นธารน้ำตกขวางกั้นพอดี แต่ขอบอกหน่อยเถอะ นั่งมอเตอร์ไซค์ก็เกร็งสุดฤทธิ์ทั้งท้องและหลัง ช่วงที่รถขึ้นเขาลงเขา เหนื่อยไม่น้อยจริงๆ

                ระยะเดินเริ่มแรก เลาะธารน้ำ ก่อนจะไต่ขึ้นทางชันไปเรื่อยๆ แม้จะยังผ่านไร่มังคุด ซึ่งเล็กบอกว่า มังคุดที่นี่ราคาดีมาก เพราะขนาด รสชาติ ความอร่อยรับประกันทีเดียว ส่งขายถึงต่างประเทศก็มี ระยะแรกของการเดิน จากเสียงพูดคุย เริ่มเงียบหายไปตามความชัน และการออกแรงเดิน  หลายคนชอบแซวกันเล่นๆ ว่า "มาทำไม เหนื่อยจัง ตังค์ก็เสีย" 

                แต่ฉันว่า ยามนี้ล่ะที่จะได้อยู่กับตัวเอง การต่อสู้กับสิ่งรอบข้างที่ไม่ได้สะดวกสบาย และแน่นอนว่าทำให้ฉันลืมความเหนื่อยเหน็ดจากการงานและความวุ่นวายในเมืองหลวงไปได้ง่ายๆ สรุปลงท้ายมันเป็นการพักผ่อนในแบบของฉันนั่นเอง

                แรกๆ ของการทำความคุ้นเคย เลยไม่เร่งรีบนัก เราแวะพักกินข้าวเที่ยงกันริมลำธารน้ำตกที่มีก้อนหินใหญ่เป็นประติมากรรมธรรมชาติ พักพอหายเหนื่อยก็ออกเดินทางกันต่อ คราวนี้ล่ะขึ้นทางชันของจริง พร้อมกับเจ้าทากสารพัดขนาดที่เราไม่เลือกมันก็มาหาเองได้อย่างเงียบเชียบ บางทีกว่าจะรู้ตัวก็เห็นแค่รอยเลือดที่ฝากไว้ 

                ตะวันคล้อยบ่าย ฝนเริ่มโปรยละออง เรารีบงัดอุปกรณ์ออกมาคลุมเป้ เพราะตัวเปียกยังแห้งได้ แต่ถ้าเป้เปียก หมายถึงน้ำหนักที่ต้องแบกเพิ่มขึ้น ยิ่งถ้าอุปรกณ์ในเป้เปียกด้วย หมายถึงเราอาจจะต้องนั่งหลับกันได้ จนกลายเป็นความเคยชินที่ต้องใส่ถุงพลาสติกใบใหญ่ๆ รองในเป้อีกชั้นก่อนใส่เสื้อผ้า เพื่อความมั่นใจ

                ไม่นานก็ถึงจุดตั้งแคมป์ เราเลือกอยู่ใกล้น้ำเพื่อความสะดวกสบาย ทั้งอาบ ทั้งหุงหาอาหาร ทากยังกวนใจไม่เลิก ฉันเองได้แต่เรียกเพื่อนให้ช่วยจับให้ บอกตรงๆ ยากันทากชนิดไหนที่ว่าแน่ เอาเข้าจริงก็กันไม่อยู่หรอก ยกเว้นฉีดที่ตัวมันตรงๆ

                วงสนทนาค่ำคืนนี้  สารพัดเรื่องพูดคุยทั้งเทรลใหม่ เทรลเก่า ก่อนจะแยกย้ายไปลงเปล นอนฟังเสียงน้ำไหลริน จนคล้อยหลับไป ฝันดีเช่นเคย กลางป่าเขาที่ไร้ซึ่งแสง สีประดิษฐ์ 

                ฉันถูกปลุกตื่นด้วยเสียงเดินพร้อมกับเรียกกินกาแฟ เช้าแล้วหรือนี่ นอนเปลกลางป่าหลับรวดเดียว แม้จะใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็ฟื้นตัวได้ไว เช้านี้กินข้าวเสร็จก็เก็บแคมป์ ออกเดินกันทันที ทำเวลาเพราะวันนี้ขึ้นทางชันของจริง และทางยาว ไม่เช่นนั้นอาจจะไม่ถึงยอด 

                จากทางชันน้อยๆ ไปตั้งหลักกันเชิงเขา ทากตัวเล็ก ตัวใหญ่ เยอะจริงๆ จนฉันต้องปีนขึ้นไปนั่งพักเหนื่อยบนขอนไม้ใหญ่ แต่ถึงคราวเดิน ก็พยายามลืม นึกถึงแต่เดินๆๆ และมองหาความสวยงามข้างทาง ทั้งกอมอสชุ่มๆ ดอกไม้ดินอย่างบีโกเนียที่เราจะได้เห็นสารพัดสี หรือแม้แต่ใบกำมะหยี่ของมันก็สวยงาม จากทางชันกว้างๆ กลายเป็นทางแคบๆ เลาะข้างเขาขึ้นไป นั่นแน่....เจอแล้ว

                ทุกคนพร้อมกันใจหยุดวางเป้ ควักกล้องออกมารุมถ่าย "รองเท้านารีคางกบใต้" ที่ชูช่อดอกอยู่ข้างทาง แม้จะมีแค่ดอกสองดอก แต่มันช่างให้ความรู้สึกตื่นเต้นทุกทีที่ไปที่เจอ ใช้เวลาไปพักใหญ่ๆ ก่อนจะไต่ขึ้นทางชันต่อ จริงๆ หยุดถ่ายรูปนี่ก็เหมือนได้พักเหนื่อยไปในตัวนะเนี่ย

                ระหว่างทางไต่ขึ้น คราวนี้ใช้ทั้งมือโหน ขาปีนขึ้นไป ยังได้เห็นรองเท้านารีอีกหลายดอก ที่ชูช่อริมก้อนหินใหญ่ แต่ไม่เป็นไร ผ่านไปจนถึงที่พักเที่ยงกลางทาง  อยู่ทางทางเดินจริงๆ เพราะเป็นทางแคบๆ ที่กว้างที่สุดแล้ว แถมมีร่องน้ำไหลมาตามซอกเขาให้ได้ล้างหน้าตากันด้วย มื้อเที่ยงง่ายๆ ลำเลียงออกมา คนที่ว่างก็หามุมถ่ายรูปกันไป จนบ่ายๆ ถึงได้ไล่เดินกันต่อ ฝนโปรยลงมาเป็นระยะ ให้ชื่นใจ เดินตากฝนกลางป่า ได้อารมณ์กว่าเดินตากฝนพิษในเมืองเป็นไหนๆ

                บ่ายแก่ๆ ถึงได้โผล่พ้นขอบเขา ขึ้นไปเห็นวิวกว้างๆ ของร่องเขา ที่ว่ากันว่าเป็นส่วนร่องอก โดยมีเนินสูงอยู่ฝั่งซ้ายและขวา นี่แหละที่มาของชื่อ "ยอดสองนม" หลังจากพักเหนื่อย ลัดเลาะลงไปในหุบเพื่อตั้งแคมป์ เป็นที่ราบกว้างๆ โล่งสบายๆ แถมหลบลมอีกด้วย เลือกทำเลที่ชอบของใครของมัน ซึ่งก็ไม่ได้ไกลกันเท่าไหร่ แล้วก็ค่อยไต่กลับขึ้นไป เป้าหมายขอสักยอดก็ยังดี 

                ฉันล้มตัวลงนอนมองเมฆที่ลอยละเลียดเนินเขา ลมพัดเอื่อยหลังฝนผ่าน บนเนินแบบนี้มีแต่ต้นหญ้าเตี้ยๆ เปิดวิวโล่ง เห็นยอดเขาสลับซับซ้อน และสุดท้ายฉันก็ไปไม่ถึงยอด เพราะมัวแต่โอ้เอ้ บวกกับความขี้เกียจในใจ (ฮา)

                กลับมาลงหุงหาอาหาร นั่งคุยกันใต้ฟลายชีตดีกว่า และไม่นาน ฝนก็เทลงมาโครมใหญ่ คราวนี้กราวด์ชีตก็เอาไม่อยู่ จากที่นั่งพื้นสบายๆ เปลี่ยนมานั่งยองๆ สุดท้ายก็นั่งในเปลคุยกันจนหลับ

                วันรุ่งขึ้น ขากลับ เดินรวดเดียวให้ถึงชายป่า ทุกอย่างเป็นเงื่อนเวลาที่เราจะพลาดไม่ได้ เพราะหมายถึงตกรถ จากแคมป์ตัดขึ้นเนินไม่ทันไร ทุกคนก็ต้องหยุดชะงัก เสียงร้องของสัตว์ดังขึ้นในหุบข้างๆ  คะเนดูไม่น่าจะเป็นสัตว์ใหญ่ แต่เสียงร้องแบบบาดเจ็บ ช่างบาดลึก ตอนนั้นเราหารือกันว่าทำยังไงดี

                แต่สุดท้ายก็ ... ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามวิถีของมัน วิถีของป่า

                เราไต่กลับลงทางเดิม คราวนี้เดินกันไม่หยุด ขาลง... มักเร็วเสมอ แต่คราวนี้เกือบไม่ทันการ เฉียดฉิวกับเวลารถทัวร์ออก ชนิดที่ต้องขอไปดักขึ้นกลางทาง

                 ระหว่างรถเคลื่อนตัวออก มองเห็นยอดเขาหลวงขนานไปข้างทาง โอกาสหน้าจะมาเก็บนมทั้งสองยอดให้ได้สักที

 

.......................................

(เขาสองนม ... ยอดเขียวแห่งเขาหลวง : คอลัมน์ชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง / ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์)