ไลฟ์สไตล์

ยิงจรวดสกัด'อุกกาบาต'ป้องโลก

ยิงจรวดสกัด'อุกกาบาต'ป้องโลก

20 ก.พ. 2556

'จรวดปรมาณู' สกัด 'อุกกาบาต' ป้องโลก : โดย...ทีมข่าวรายงานพิเศษ

                          หลังเกิดมหันตภัย  "อุกกาบาต" หนักกว่า 10 ตันพุ่งเข้าชนรัสเซีย เมื่อเช้าวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 1 พันคนนั้น ล่าสุดผู้นำจากทั่วโลกยอมรับว่า ถึงเวลาแล้วที่มนุษย์ต้องหาวิธีการรับมือกับภยันตรายนอกโลกแล้ว ขณะที่นักวิทยาศาสตร์มองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเหนือความสามารถของมนุษย์ที่จะหยุดยั้งได้

                          องค์การนาซาให้ข้อมูลว่า ก่อนที่อุกกาบาตที่ตกใส่เมืองเชลยาบินสก์จะพุ่งเข้าสู่โลกมีขนาดกว่า 1 หมื่นตัน ใหญ่ประมาณ 17 เมตร ก่อนจะแตกกระจายออกเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยเหนือพื้นโลกประมาณ 30-50 กม. สถิติจากสมาคมอุกกาบาต (The Meteoritical Society) ระบุว่าตั้งแต่อดีตมีอุกกาบาตตกใส่โลกแล้วไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นลูก ในทวีปแอนตาร์กติกา 2.4 หมื่นลูก, ทะเลทรายซาฮารา 4 พันลูก และที่อื่นๆ อีก 2 พันกว่าลูก

                          "อ.อารี สวัสดี" นายกสมาคมดาราศาสตร์ไทย อธิบายว่า อุกกาบาตมีคุณสมบัติ 3 ไม่ คือ "ไม่สามารถพิสูจน์ตำแหน่ง", "ไม่สามารถระบุวงโคจร" และ "ไม่สามารถบอกขนาดได้" หากอุกกาบาตเหวี่ยงมาใกล้โลกแล้วมีนักวิทยาศาสตร์ค้นพบจนสามารถระบุตำแหน่งวงโคจรและขนาดได้ อุกกาบาตก้อนนั้นจะกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยที่ถูกตั้งชื่อ เพื่อเฝ้าดูและติดตามอย่างใกล้ชิดทันที เช่น ดาวเคราะห์น้อย 2012 DA14

                          "ปัญหาคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มีไม่กี่คน การหาอุกกาบาตจำนวนมหาศาลที่โคจรใกล้โลกทำได้ยาก เปรียบเสมือนหมู่บ้านขนาดใหญ่แต่มียามไม่กี่คน ต้องใช้งบประมาณมหาศาล ปัจจุบันทั่วโลกมีหน่วยงานด้านนี้อยู่เพียง 3 ประเทศ คือ อเมริกา ฮาวาย และชิลี หากพบก้อนอะไรประหลาดๆ กำลังพุ่งดิ่งมายังโลก จะช่วยกันส่งสารเตือนออกมา เหมือนเรดาร์คอยจับการเคลื่อนไหวของข้าศึกศัตรู กรณีอุกกาบาตตกในรัสเซียนั้น ขนาดก้อนไม่ใหญ่มากและพุ่งมาเร็วจนไม่มีใครจับได้ทัน"

                          อ.อารี กล่าวต่อว่า ในโลกมีพื้นน้ำ 2 ใน 3 ส่วน อุกกาบาตส่วนใหญ่ตกไปในมหาสมุทรทำให้ไม่มีใครรู้ มนุษย์ยังพัฒนาเทคโนโลยีของกล้องส่องดูดาวไม่ดีพอ ไม่สามารถจับภาพสภาวะมืดมิดนอกโลกได้ สำหรับประเทศไทยนั้นยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญและเครื่องไม้เครื่องมือในการไปค้นหาหรือป้องกัน ทำได้เพียงรออุกกาบาตตกลงมาแล้วไปเก็บมาขายเท่านั้น

                          ความหวาดกลัวเรื่องอุกกาบาตพุ่งชนโลกไม่ได้เป็นเรื่องขำขันอีกต่อไม่ เมื่อโครงการ "เอสอาร์ทีเอ็ม" Shuttle Radar Topography Mission (SRTM) หนึ่งในหน่วยงานองค์การนาซา เปิดเผยหลักฐานภาพชี้ชัดเกี่ยวกับหลุมอุกกาบาตขนาดยักษ์กว้างประมาณ 180 กิโลเมตรชื่อ "ชิคซูลับ" (Chicxulub) บริเวณคาบสมุทรในประเทศเม็กซิโก โดยอ้างว่าเป็นสาเหตุแห่งการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของไดโนเสาร์เมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว

                          ดร.เสริม จันทร์ฉาย นักฟิสิกส์ชื่อดังจากคณะวิทยาศาสตร์ ม.ศิลปากร ยอมรับว่า มีสถาบันระดับนานาชาติหลายแห่งพยายามพัฒนาวิจัยด้านฟิสิกส์เพื่อนำไปพัฒนาอาวุธให้สามารถต่อกรกับแขกนอกโลกที่ไม่ได้รับเชิญ เช่น อุกกาบาต ดาวเคราะห์ ดาวหาง ฯลฯ โดยที่น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดคือ "จรวดปรมาณูไอซีบีเอ็ม"  หรือ "จรวดมิสไซล์ข้ามทวีป"  อินเตอร์คอนติเนนทัล บอลลิสติก มิสไซล์ (InterContinental Ballistic Missile : ICBM) มีการบรรจุนิวเคลียร์ด้านในเพื่อช่วยเพิ่มพลังในการยิงให้อุกกาบาตแตกกระจาย หรือยิงเปลี่ยนวงโคจรไม่ให้วิ่งพุ่งเข้าหาโลกมนุษย์

                          "ปกติก้อนอุกกาบาตพุ่งเข้าสู่โลกด้วยความเร็วมาก ก้อนที่ตกใส่รัสเซียมีความเร็ว 31 กม.ต่อวินาที หมายถึงกะพริบตาหนึ่งครั้งพุ่งไปไกล 30 กม. ถ้าเปรียบเทียบเป็นความเร็วรถยนต์ประมาณ 1.1 แสนกิโลเมตรต่อชั่วโมง รถยนต์ปกติไม่เกิน 120-160 กม./ชั่วโมง เชื่อกันว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาอาวุธจรวดปรมาณูชนิดนี้อยู่ ถือเป็นความลับยังไม่มีใครรู้รายละเอียด ต้องใช้นิวเคลียร์เพราะมีความแรงมากกว่า ฝรั่งเชื่อเรื่องอุกกาบาตทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ พวกมันไม่ได้ตายเพราะถูกพุ่งชน แต่เป็นเพราะฝุ่นควันปกคลุมนานกว่า 3 ปี ทำให้ขาดอากาศและอาหาร" ดร.เสริม กล่าว

                          ข้อมูลจากเว็บไซต์ระบุว่า ปัจจุบันจรวดปรมาณูไอซีบีเอ็มนั้น สามารถพัฒนาให้ยิงได้ไกลไม่ต่ำกว่า 5,000-10,000 กม.ขึ้นไป ขณะนี้มีเพียง 5 ประเทศผลิตสำเร็จ ได้แก่  อเมริกา รัสเซีย จีน อินเดีย และอิสราเอล มีการแอบทดลองยิงตามมหาสมุทรต่างๆ

                          เชื่อว่าอีกไม่นานคงซ้อมยิงอุกกาบาตอย่างแน่นอน แต่ก่อนอื่นคงต้องพัฒนากล้องส่องดูดาวให้มองเห็นและระบุวงโคจรของพวกมันให้ได้เสียก่อน !?!

 

 

--------------------

('จรวดปรมาณู' สกัด 'อุกกาบาต' ป้องโลก : โดย...ทีมข่าวรายงานพิเศษ)