
ศิลป์แห่งแผ่นดิน : สนามว่าว
ศิลป์แห่งแผ่นดิน : สนามว่าว : โดย...ศักดิ์สิริ มีสมสืบ
อ่าน “ว่าวสีขาว” เรื่องสั้นของ ประมวล มณีโรจน์ อีกครั้งก็ยังสุดประทับใจเหมือนเดิม มือเรื่องสั้นตัวจริง เขียนไม่มากแต่ดีเยี่ยมทุกเรื่อง
ผมก็เขียนบทกวีเรื่องว่าวไว้หลายบท มีฉาก “ว่าวค้างอยู่บนยอดไม้ หนูน้อยปีนป่ายปองว่าว” เหมือนกัน
มกราคม - กุมภาพันธ์ เป็น “ฤดูชักว่าว” หนาวจะไปร้อนจะมาดอกงิ้วจะบาน ดอกจานงาม ตามด้วยดอกคูน หรืออีกนาม “ลมแล้ง”
สมัยคนรุ่นผมเป็นเด็ก ท้องฟ้าชนบทจะเต็มไปด้วยว่าวนานาชนิด ว่าวจุฬา ปักเป้า ว่าตะลุ่ม(อีลุ้ม) ว่าวงู ว่าวผีเสื้อ ว่าวสองห้อง
สถานที่วิ่งว่าวคือ ลานวัด ลานโรงเรียน และทุ่งนา วัยเยาว์ผมวิ่งว่าวบนคันสระ สระน้ำขนาดใหญ่ เนื้อที่กว่าสิบไร่ มีขอบคันกว้าง ยกสูง ในสระมีบัวชมพู ใกล้ขอบสระมีบัวหลวง ออกดอกให้ชม ออกฝักให้เก็บมากินเมล็ดบัวหวาน
พระสงฆ์องค์เจ้าก็ยังเล่นว่าว หลวงน้า หลวงพี่ และเณรน้อย ผู้หลักผู้ใหญ่ทำว่าให้เด็กๆ เล่น เริ่มตั้งแต่ไปตัดลำไผ่จากกอ นำมาทอน ผ่า และเหลา ทำโครงว่าว ผูกเชือกประกอบตัวว่าว กวนแป้งเปียก เด็กๆ ช่วยกันแปะกระดาษสีเลือกสีที่ตนชอบ สีแดง ส้ม น้ำเงิน เขียว เหลือง บ้างชอบหลายสี สลับสี บ้างตัดเป็นรูปดาวแปะประดับ ผูกพู่ปีกซ้ายขวา ต่อหางว่าวยาวเฟื้อย ผูกสายซุง ที่อกว่าว แล้วผูกด้ายเหนียว พันกระป๋องไว้ก่อนวิ่งแน่บไปยังลาน กอบฝุ่นโปรยดูทางลม แล้วให้เพื่อนช่วยส่งว่าว วิ่งว่าว ชักว่าว จนว่าวติดลมบน
ว่าวบางตัวสัดส่วนไม่ดี ต้องปรับแต่ง อยากให้ว่าวลอยนิ่งต้องถ่วงพู่ปีกให้สมดุล อยากให้ว่าวลอยโยกส่ายก็มีวิธีต่อพู่ปีก พู่หาง
ในวัยเยาว์ ผมชอบว่าวสีขาว เมื่อลอยติดลมบนจะไม่งามเด่น เหมือนสีอื่น นั่นแหละสิ่งที่ผมต้องการ
ว่าวบนท้องฟ้าดูสง่างาม ว่าวที่ห้อยเก็บไว้ในบ้าน ดูนิ่งสงบ ว่าวที่หลุดลอยเพราะสายป่านขาด สร้างความรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ เร่งเร้าให้เราวิ่งแหงนไล่ตาม กระทั่งมันลอยร่วงลงค้างกิ่งไม้สูง
ฤดูว่าวปีนี้ คงเพราะผมหยิบเรื่องสั้น “ว่าวสีขาว” ของประมวล มณีโรจน์มาอ่าน ผมจึงต้องโลดทะยานไปกลางทุ่ง ไปดูเด็กๆ เล่นว่าว แล้วผมก็ไปหาผู้เฒ่าในหมู่บ้าน เด็กๆ ของผมได้ว่าวมาคนละตัว เป็นว่าวอีลุ้มตัวน้อย ที่วิ่งเท่าไรก็ไม่ขึ้นติดลมบน กลายเป็นว่าวบก หัวปักครูดไปกับพื้น เด็กสองคนวิ่งจนหอบ เหงื่อโทรมกาย โดนผู้ใหญ่ล้อว่า “ว่าวตับแตก” แต่เด็กน้อยก็ดูรื่นรมย์กับว่าวของเขา ท้องฟ้าชนบทบ้านผม (ที่นครสวรรค์) ยังมีว่าวปรากฏให้เห็น หลวงน้าจะชักว่าวดุ๊ยดุ่ยขึ้นตอนหัวค่ำ บางวันอาจจะดึกหน่อย คนบ้านใกล้วัดจะได้ยินเสียง “สะนูว่าว” ดัง “ดุ๊ย ดุย ดุ่ย ดุ๊ย” ฟังเพลินดีตอนค่อนแจ้ง
“ว่าวดุ๊ยดุ่ย” หมายถึง ว่าวที่ติดสายสะนูไว้ที่หัว สายสะนูทำด้วยสายหนัง หรือผิวไผ่จักเป็นเส้น ขึงตึงด้วยคันสะนูโค้ง ก่อนติดที่หัวว่าว ต้องทดสอบเสียงด้วยการกวัดแกว่งไปรอบๆ ตัว ผมอยากเห็นชุมชนทั่วไทยยังคงการละเล่นชักว่าวไว้ให้แข็งขัน มันน่าสนุกออกจะตาย พระสงฆ์ คุณครู, อาจารย์โรงเรียนท้องถิ่น จัดการให้มีการเล่นว่าว เล่นกันเล่นๆ หรือจะเล่นกันจริงๆ ให้เป็นเทศกาลเลยก็ยังได้ หากบางโรงเรียนจัดเข้าเป็นกิจกรรมการเรียนสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตก็ยิ่งดี เชิญคุณปู่ คุณตา คุณลุง คุณน้า ในหมู่บ้าน ไปเป็นวิทยากร สอนเด็กทำว่าว เล่นว่าว ...
อย่าทำให้ “การชักว่าว” กลายความหมายไปเป็นอื่น พาให้ “สนามหลวง” พลอยเสียหายไปด้วย ช่วยกันสร้าง “สนามว่าว” กันเถิดครับ
---------------------
(ศิลป์แห่งแผ่นดิน : สนามว่าว : โดย...ศักดิ์สิริ มีสมสืบ)