ไลฟ์สไตล์

'อุ๊'เปิดโลกหนังสือต่อยอดงานแฟชั่น

'อุ๊'เปิดโลกหนังสือต่อยอดงานแฟชั่น

02 ก.พ. 2556

'อุ๊' เปิดโลกหนังสือต่อยอดงานแฟชั่น : คอลัมน์ขอเวลานอก : โดย...เรื่อง-- วันวิสา โรจน์แสงรัตน์ : ภาพ--ชาญณรงค์ พรดิลกรัตน์

                "ไม่ว่าเราจะสนใจอะไร หนังสือก็ช่วยเราได้เสมอ เราจะได้เรียนรู้จากการอ่าน อ่านอะไรก็ได้ความรู้ด้านนั้นเพิ่ม และยังช่วยให้สมองวิ่ง ทั้งยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้เห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น ถึงบางครั้งแม้เราจะอ่านภาษาของบางประเทศไม่ออก แต่การอ่านภาพที่อยู่ในหนังสือก็เป็นอีกส่วนที่ช่วยเพิ่มความรู้ได้เช่นกัน"

                มีการวิจัยพบว่าคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การทำงาน มักจะมีนิสัยรักการอ่านรวมอยู่ด้วย เพราะการอ่านเสมือนเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกลยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการเพิ่มพูนความรู้แก่ตัวเองด้วย เฉกเช่นเดียวกับสาวสวยนักบริหารวัย 30 ต้นๆ อย่าง "อุ๊" จุฬาลักษณ์ ผลภิภม บอสสาวแห่งบริษัทเอเจนซี่ชื่อดัง กลิตซ์ คอมมิวนิเคชั่นส ที่เปิดให้บริการมาถึง 9 ปี และเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าผู้ชาย "บัทเทิน อัพ" ซึ่งหลังจากเปิดมาราว 3 ปีเศษ ก็ได้รับความสนใจจากคุณหนุ่มๆ ไม่น้อยทีเดียว ล่าสุดยังแตกไลน์ไปสู่เสื้อเชิ้ตสำหรับผู้หญิง แต่จะมีวางขายเฉพาะบางสาขาเท่านั้น

                เมื่อมีโอกาสทีมงาน "คม ชัด ลึก" จึงขอคว้าตัวสาวเก่งคนนี้มาทำความรู้จักกันสักหน่อย โดยเธอนัดแนะให้ไปเจอกันที่บ้านย่าน ถ.ศรีนครินทร์ หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ สาวอุ๊ก็เริ่มการสนทนาทันที โดยเธอเล่าว่าหลังจากเรียนจบปริญญาตรีด้านมาร์เก็ตติ้ง จากมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน เมืองพิตต์สเบิร์ก และได้เข้าเรียนปริญญาโททางด้านโฆษณาต่อเลยที่มหาวิทยาลัยบอสตัน เมื่อเรียนจบกลับมาทำงานได้สักพักก็หันมาเปิดบริษัทเอเจนซี่ของตัวเอง และขยายมาสู่กิจการเสื้อผ้าผู้ชายทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนทางด้านนี้มาก่อน แต่ด้วยความสนใจและมองเห็นโอกาสที่จะเติบโตทางด้านนี้ จึงเริ่มศึกษาอย่างจริงจังกับเพื่อนๆ ที่ทำงานร่วมกันทั้งที่เป็นดีไซเนอร์ สไตลิสต์ และเมคอัพอาร์ติสต์

                "คนจะถามบ่อยมากว่าทำไมถึงหันมาทำธุรกิจเสื้อผ้าผู้ชาย คือมันเริ่มจากที่อุ๊มีเพื่อนผู้ชายเยอะแต่หลายคนแต่งตัวไม่เป็น เวลาเลือกเสื้อผ้าก็มักจะให้อุ๊ช่วยดูให้ และอุ๊เองก็ชอบแต่งตัวให้คุณพ่อและแฟนด้วย จึงพยายามหาของต่างๆ มา ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากต่างประเทศ แต่ขนาดของเมืองนอกมันจะไม่พอดีกับคนไทย ส่วนของบ้านเราการตัดเย็บก็ไม่ค่อยเนี้ยบใส่แล้วดูไม่สวยเท่าไหร่ พอมองเห็นช่องทางตรงนี้ก็เลยคิดว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจมากๆ จึงเริ่มศึกษาจากเพื่อนๆ ที่อุ๊ทำงานด้วย อย่างงานโฆษณาที่เราทำอยู่หลายปี ตรงนี้ก็มีเพื่อนๆ เยอะแยะ และช่วยให้คำปรึกษาด้านต่างๆ ได้ดี จึงออกมาเป็นบัทเทินอัพอย่างที่เห็นในวันนี้ค่ะ" บอสสาวทายาทคนเล็กของคุณแม่มณีรัตน์ และคุณพ่อสมชาย ผลภิภม เล่าถึงสายงานด้านธุรกิจที่ก้าวเข้าไปดูแลอย่างเต็มตัว

                และจากงานที่ต้องรับผิดชอบนี้เอง เป็นที่มาให้เธอต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ และอีกหนึ่งคลังสมองที่สาวคนนี้สนใจเป็นพิเศษก็คือ "การอ่านหนังสือ" และ "สะสมหนังสือ" นั่นเอง โดยเธอมักจะเทความสนใจไปที่หนังสือแฟชั่นเป็นหลัก โดยเฉพาะแฟชั่นผู้ชายที่เธอยอมรับว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้สนใจมากเป็นพิเศษ และอ่านแทบทุกเล่ม เพราะสิ่งที่อยู่ในหนังสือเหล่านั้นสามารถนำมาเป็นแรงบันดาลใจและต่อยอดงานที่ทำได้เป็นอย่างดี

                "เมื่อก้าวเข้ามาทำงานด้านโฆษณาและแฟชั่น เราก็ต้องอัพเดทเทรนด์ตลอดเวลา จะตกเทรนด์ไม่ได้เลย เมื่อก่อนอุ๊จะซื้อแมกกาซีนครั้งหนึ่งกว่า 20 เล่มเปิดโน่นดูนี่ไปเรื่อยๆ และไม่เฉพาะแมกกาซีนแฟชั่นในปัจจุบันเท่านั้นนะคะ คืออุ๊จะสนใจหนังสือประเภทประวัติศาสตร์ของแฟชั่นด้วย เวลาอ่านหนังสือพวกนี้เราจะรู้ถึงที่มาที่ไปของเสื้อผ้าที่ใส่กันในปัจจุบัน แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปมาก ตอนนี้อุ๊จะอ่านผ่านออนไลน์ในไอโฟนเป็นส่วนใหญ่ แอพไหนน่าสนใจก็โหลดมาเก็บไว้อ่าน แต่ก็ยังไม่ลืมหนังสือนะคะ ไปไหนก็ยังซื้ออ่านและเก็บไว้ทุกครั้ง อย่างเวลาไปต่างประเทศก็จะซื้อหนังสือของประเทศนั้นมาดู บางครั้งอย่างไปจีนหรือเกาหลีเราอ่านภาษาของเขาไม่ออก แต่เราจะดูการจัดวาง ดูวิธีการนำเสนอ เพราะหนังสือมันจะสื่อถึงคาแร็กเตอร์ของความเป็นประเทศนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี" สาวอุ๊เล่าอย่างออกรส

                ขณะง่วนกับการจัดตู้หนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมายหลายประเภท สาวนักอ่านย้อนเล่าถึงที่มาของการมีนิสัยรักการอ่านว่า น่าจะเริ่มมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาโท เนื่องจากเป็นนักเรียนจากเอเชียเพียงคนเดียว และรู้สึกว่าตัวเองล้าหลังกว่าคนอื่น จึงต้องมีความพยายามมากขึ้น ด้วยการหาหนังสือมาอ่านเพื่อให้มีความรู้มากขึ้น และเปิดโลกทัศน์ของตัวเองไปพร้อมกันด้วย

                "ที่จริงก็อ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ นะคะ อุ๊จะชอบอ่านนิยายเกี่ยวกับเด็กผู้หญิง แต่ก็ไม่ถึงขนาดว่าว่างแล้วต้องเดินเข้าไปฝังตัวในร้านหนังสือ แต่ช่วงที่คิดว่าอ่านอย่างจริงจังก็ตอนที่เรียนปริญญาโทค่ะ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ต้องเรียนเกี่ยวกับการสื่อสาร ซึ่งเราเป็นคนเดียวที่มาจากเอเชีย ตอนนั้นรู้สึกว่าเราล้าหลังมากและต้องพยายามมากกว่าคนอื่น จึงเริ่มหาหนังสือมาอ่าน ตอนนั้นอ่านหลายอย่างจนรู้สึกได้เลยค่ะว่าอ่านเยอะมากๆ ตั้งแต่นั้นมาก็เลยอ่านมาเรื่อยๆ จนตอนนี้กลายเป็นคนรักการอ่านไปแล้วค่ะ คือก่อนนอนอุ๊ต้องอ่านหนังสือแทบทุกคืน อย่างตอนกลางวันบางทีอ่านๆ อยู่ก็มีโทรศัพท์เข้ามาคุยงานตลอดเวลาจนเราไม่มีสมาธิ แต่ตอนกลางคืนไม่มีใครติดต่องานแล้ว มันเลยเป็นช่วงที่มีสมาธิที่สุดเหมาะแก่การอ่านหนังสือมากๆ ค่ะ" สาวนักอ่านบอกอย่างนั้น

                หลังจากจัดหนังสือนับร้อยๆ เล่มบนชั้นวางให้เข้าที่และเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ขณะนั่งพักสาวอุ๊เล่าต่ออีกว่า นอกจากหนังสือแฟชั่นที่ตอนนี้สนใจเป็นพิเศษแล้ว ก็ยังมีหนังสืออื่นๆ ที่ชอบอีกหลายเล่มอย่างหนังสือประเภทกราฟฟิกอีเว้นท์ หรือหนังสือออกแบบตกแต่งบ้าน เพราะงานดีไซน์ก็สามารถนำเข้ามาใช้กับงานของลูกค้าที่ทางบริษัททำให้ รวมไปถึงแบรนด์ของตัวเองด้วย ส่วนหนังสือประเภทแบรนด์ไอคอน และหนังสือคนดังที่เป็นไอดอลก็จะซื้อเก็บไว้เช่นกัน รวมไปถึงหนังสือประเภทออกแบบจิวเวลรี่ ซึ่งถือเป็นความชอบส่วนตัว สาวคนนี้เธอก็ซื้อหามาเก็บไว้เช่นกัน 

                "ที่เห็นบนชั้นนี่เป็นแค่บางส่วนนะคะ บนห้องยังมีอีกเยอะเลย บางช่วงที่อุ๊สนใจอะไรก็จะบ้าซื้อมาเก็บไว้หลายเล่มเลย อย่างตอนที่สนใจเรื่องจิวเวลรี่ก็จะไปเรียนที่สถาบันที่สอนทางด้านนี้โดยตรง เรียนทั้งเรื่องการดีไซน์ การดูเพชรพลอย และทุกเรื่องที่เกี่ยวกับจิวเวลรี่เลย แล้วก็หาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเครื่องประดับมาอ่านเสริมเพื่อให้รู้มากขึ้นด้วย แต่สำหรับอุ๊คิดว่าไม่ว่าเราจะสนใจอะไร หนังสือก็ช่วยเราได้เสมอ เราจะได้เรียนรู้จากการอ่าน อ่านอะไรก็ได้ความรู้ด้านนั้นเพิ่ม และยังช่วยให้สมองวิ่ง ทั้งยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้เห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น ถึงแม้บางครั้งเราจะอ่านภาษาของบางประเทศไม่ออก แต่การอ่านภาพที่อยู่ในหนังสือก็เป็นอีกส่วนที่ช่วยเพิ่มความรู้ได้เช่นกัน" นักอ่านสาวกล่าวทิ้งท้ายการสนทนาก่อนจะขอตัวจัดการกับหนังสือกองโตที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้า

 

..........................................

('อุ๊' เปิดโลกหนังสือต่อยอดงานแฟชั่น : คอลัมน์ขอเวลานอก : โดย...เรื่อง-- วันวิสา โรจน์แสงรัตน์ : ภาพ--ชาญณรงค์ พรดิลกรัตน์)