
ตำรวจท่องเที่ยวยุคดิจิตอล
ตำรวจท่องเที่ยวยุคดิจิตอล เน้น 5S สร้างภาพลักษณ์เสริม 'ท่องเที่ยวไทย' : คอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษ : พล.ต.ต.รอย อิงคไพโรจน์ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว
ตำรวจท่องเที่ยวมีหน้าทีหลัก คือ ดูแลเรื่องการให้บริการและดูแลด้านความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ แต่สิ่งที่ตำรวจท่องเที่ยวอยากเน้นให้คนไทยมีจิตสำนึกของการเป็น "เจ้าบ้านที่ดี" คือ การช่วยเหลือ สอดส่องดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว อย่าคิดว่า "ปัญหาไม่ใช่ แล้วไม่สนใจ" จะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสื่อมเสียได้ในที่สุด ร่วมกันสร้างภาพลักษณ์ในการเป็นเจ้าบ้านที่ดีให้นักท่องเที่ยวประทับใจดีกว่า
พล.ต.ต.รอย อิงคไพโรจน์ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว อธิบายถึงภารกิจของตำรวจท่องเที่ยวว่า ปัจจุบันมีตำรวจ 800 กว่านายทั่วประเทศ มีภารกิจหลักอยู่ 2 อย่าง คือ ต้องทำให้นักท่องเที่ยวได้รับการบริการที่ดี และดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวให้มีความสุขในการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย เป็นการเพิ่มรายได้จากท่องเที่ยวของประเทศไทย แต่ภารกิจเร่งด่วนที่อยากทำก่อนมี 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ การแก้ไขปัญหาการหลอกลวงนักท่องเที่ยว และอยากกระตุ้น ปลูกฝัง ให้ผู้ที่รับผิดชอบงานท่องเที่ยวทั้งหมดร่วมใจช่วยกันทุกฝ่าย
"ชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยปีละประมาณ 19 ล้านคน มี 3 แบบ คือ เข้ามาท่องเที่ยวจริงๆ เข้ามาทำธุรกิจหรือเข้ามามีครอบครัว และเข้ามาก่ออาชญากรรม ผมว่าจุดหลักที่จะช่วยแก้ปัญหาการท่องเที่ยวได้ คือ องค์กรส่วนท้องถิ่น เช่น เทศบาล อบจ. อบต. ชุมชน ถือเป็นจุดหลัก ถ้าไม่ร่วมกันทำนะ...จบ ถ้าคิดว่าปัญหาไม่ใช่...ก็จบ เขาต้องให้ความรู้คนของเขาเองด้วย และต้องให้ความร่วมมือด้วย กดดันเพื่อเอาน้ำดีไล่น้ำเสีย อันไหนที่ไม่ดีต้องช่วยกันจัดการ องค์กรส่วนท้องถิ่นถือเป็นหลักที่ช่วยแก้ปัญหาได้"
ถ้ามองแคบลงมา ในส่วนของตำรวจท่องเที่ยวจะเป็นเรื่องของการบริการในหน้าที่หลัก ตำรวจท่องเที่ยวต้องมีหัวใจของการบริการ (Service Mind) เช่น เห็นนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ ต้องดูแลอย่างดี ต้องรู้สึกว่าเขาเปรียบเสมือนคนที่เป็นพรรคพวกของเรา ต้องดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งการดูแลนักท่องเที่ยวให้ปลอดภัยระหว่างอยู่ในประเทศไทยมี 2 แนวทาง ป้องกันอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้น เน้นการตรวจตราตามแหล่งท่องเที่ยว ต้องประสานกับกลุ่มที่ทำงานในวงจรธุรกิจอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ต้องมีเครือข่ายประชาชนในการแจ้งข่าวต่างๆ ที่กจะกระทบหรือส่อให้เกิดปัญหากับนักท่องเที่ยว เพื่อเป็นการตัด หรือลดโอกาส ตัดวงจรการกระทำผิดต่อนักท่องเที่ยว ซึ่งก็คือแนวทางการป้องกัน
พล.ต.ต.รอย กล่าวต่อไปว่า อีกส่วนหนึ่งคือทำ Community Policing Community Policing เปิดโครงการไปเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเชิญการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมไทย ทัวร์ สมาคมมัคคุเทศก์ มาหารือกันถึงปัญหาว่าเมื่อนักท่องเที่ยวลงเครื่องบินมามีปัญหาอะไร ผู้ที่หลอกลวงไปนำชื่อนักท่องเที่ยวมาจากไหน มายืนถือป้ายหลอกนักท่องเที่ยวไป ตำรวจท่องเที่ยวจึงแนะนำให้ติดป้ายเตือนขนาดใหญ่ตามสนามบินเรื่องการถูกหลอกลวง แต่บางคนก็มองต่างมุมว่า ทำให้เสียภาพลักษณ์ประเทศไทย
"ที่ผมฟังจากตำรวจท่องเที่ยวและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว พอสรุปได้ว่า เวลาเขาเกิดเรื่อง นักท่องเที่ยวอยากเข้ามาคุยกับตำรวจท่องเที่ยว เขาไม่ค่อยอยากจะคุยกับตำรวจส่วนอื่น เพราะตำรวจท่องเที่ยวจะเป็นเน้นเรื่องของการให้บริการ และการช่วยเหลือ ขณะนี้ผมตั้งเป้าไว้ว่าตำรวจท่องเที่ยวต้องมี “5 S” คือ Smart แต่งกายให้ดูดี Smile ยิ้มแย้มแจ่มใส Survice ให้การบริการดูแลที่ดี Safe ดูแลความปลอดภัย และ Secure ให้นักท่องเที่ยวรู้สึกอบอุ่นและมั่นใจในเรื่องความปลอดภัย ทั้งหมดนี้พวกเราพยายามทำอยู่ พยายามปลูกฝังเรื่องเหล่านี้ให้ตำรวจท่องเที่ยวอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งเรื่องมนุษย์สัมพันธ์ Service Mind การ Take Action งานในหน้าที่ ซึ่งเป็นงานเฉพาะด้านในการดูแลนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว ตำรวจท่องเที่ยวต้องมีบุคลิกที่พิเศษกว่า คือ เป็นมิตร ไม่เกิดภาพในเชิงการปราบปรามให้นักท่องเที่ยวเห็น"
ผบ.ตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่า ขณะนี้เตรียมออก Application ของทัวริสต์ เพื่อให้ทุกคนช่วยกันให้ข้อมูล หรือแจ้งเบาะแสทาง App ที่จะลิงค์กับรถวิทยุของตำรวจท่องเที่ยว จะทำเรื่อง Tracking System ที่ติดรถที่บอกพื้นที่ว่าตำรวจอยู่ที่ไหน อย่างไร ถือเป็นช่องทางหนึ่ง ส่วนเว็บไซต์ และเฟซบุ๊ก เป็นสื่อออนไลน์ที่ช่วยได้อีกทาง เรื่องท่องเที่ยวมีหลายกระทรวง ทบวง กรม ที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง โอกาสในการสร้างปัญหาอยู่ตรงนี้ แต่ไม่ได้ช่วยกันตัดโอกาสจนเกิดปัญหาแล้วถึงกลายเป็นเรื่องของตำรวจ แล้วก็บอกว่า ทำไมตำรวจไม่แก้ ก็ถ้าได้รับการแก้ไขตั้งแต่ต้น ปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้นมาถึงจุดสุดท้าย แต่ตำรวจท่องเที่ยวได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามาตลอด
"ตอนที่ผมมารับหน้าที่ ผมให้แต่ละสถานีทำนาฬิกานักท่องเที่ยว เพราะช่วงเวลาท่องเที่ยวของแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน เช่น ช่วงที่คนมาเที่ยวมากที่สุด ถ้าเป็นวัดพระแก้ว คือเวลา 9 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง แต่ถ้าเป็นภูเก็ต ป่าตอง ต้องเป็นช่วงเย็น 4 ทุ่มถึงตี 4 ซึ่งช่วงเวลาเหล่านี้มีแนวโน้มเกิดปัญหามากที่สุด ตำรวจท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่จะได้ลงตรวจตามจุดเวลานั้นๆ ได้ ตอนนี้ผมเริ่มทำเกราะป้องกันตัวตำรวจ คือการทำ Tracking System ตรวจตามวงรอบ ทั้งวงรอบนาฬิกานักท่องเที่ยว วงรอบจากการวิเคราะห์อาชญากรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา เมื่อวิเคราะห์แล้วก็นำรถวิทยุสายตรวจไปตรวจตามนั้น ถ้าสถิติลดลง ถือว่าได้ตามเป้าหมาย ถ้าสถิติไม่ลดลง ต้องดูว่าเป็นเพราะอะไร ต้องวิเคราะห์ต่อ จุดไหนนักท่องเที่ยวมาใช้บริการมาก มีการเกิดอาชญากรรมมาก ก็ให้รถวิทยุเพิ่มความถี่ในการตรวจมากขึ้น เพื่อกำหนดว่า ผลการปฏิบัติจะเป็นอย่างไร"
ส่วนความพร้อมของตำรวจท่องเที่ยวในการเปิดประตูอาเซียน พล.ต.ต.รอย กล่าวว่า ขณะนี้ได้สำรวจไปแล้ว สิ่งสำคัญต้องทำเรื่องหลักๆ คือ ต้องพัฒนาบุคลากรให้พูดภาษาอังกฤษได้ เรื่องวัฒนธรรมในอาเซียนที่ต้องแนะนำ และต้องเรียนรู้เรื่องกฎหมายต่างๆ เพิ่มเติม เมื่อมีการเข้า-ออกเสรี อาจมีปัญหาขึ้นได้ แต่โชคดีที่ตำรวจท่องเที่ยวในกลุ่มอาเซียนที่การประชุมหารือกันบ่อย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของตำรวจสากล ตำรวจตตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) แต่ตำรวจท่องเที่ยวของสมาชิกอาเซียนบางประเทศยังมีไม่ทั่วถึง ตำรวจท่องเที่ยวไทยจึงอาศัยช่องทางอื่นแทรกเข้าไป เช่น ไปร่วมประชุมกับ ตม.บ้าง ตำรวจสากลบ้าง
ผบ.ตำรวจท่องเที่ยวย้ำว่า ถ้าเป้าหมายจะทำรายได้ของการท่องเที่ยวไทยให้ถึงเป้าหมายจริงๆ ทุกคน ทุกหน่วย ทั้งภาครัฐ และเอกชน ต้องร่วมกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี แต่ทุกวันนี้ต่างคนต่างทำ เลยเหนื่อยกว่าเดิม ตำรวจทุกหน่วยงานทำงาน 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว ถ้าเทศบาล อบต. อบจ.เข้มแข็ง การท่องเที่ยวในท้องถิ่นจะไปได้ดี ปัญหาอาชญากรรมต่างๆ ก็ไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน"
ทั้งนี้ ผบ.ตำรวจท่องเที่ยว เล่าต่อไปว่า ข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ที่เกิดกับนักท่องเที่ยวมักเป็นคดีทางเพศ แต่คดีที่เกิดกับนักท่องเที่ยวจะไม่ใช่คดีรุนแรง ส่วนใหญ่เป็นคดีหลอกลวง ฉ้อโกง เอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวมากกว่า คดีที่เกิดทางเพศจริงๆ แล้วมีน้อย ปัญหาเหล่านี้คิดว่าทุกส่วนต้องร่วมกันแก้ปัญหา กฎหมายไทยไม่อ่อนอย่างที่หลายคนคิด แต่ขั้นตอนการดำเนินคดีอาจจะไม่มีผลให้เห็นชัดเจน ซึ่งต่อไปนี้จะพยายามนำความคืบหน้าของคดีที่เกิดกับนักท่องเที่ยวไปลงสื่อให้ประชาชนทราบว่าผลที่ไปก่อคดีต่างๆ กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างไร
"บางทีเราทำงานเชิงรุก เชิงบริการสร้างสรรค์ แม้จะทำงานกันเกินร้อย แต่มีแค่คนบางกลุ่มทำให้ชื่อเสียงของประเทศเสียหาย ปัจจุบันสื่อออนไลน์เร็วมาก บางทีข้อมูลจริงหรือไม่จริงยังไม่ทราบ สิ่งที่กังวลคือ การขาดความรู้สึกเป็นเจ้าบ้านที่ดีที่ต้องช่วยกัน เช่น เห็นคนไทยจูงนักท่องเที่ยวต่างชาติไปแบบผิดปกติ ควรช่วยเตือนนักท่องเที่ยว หรือโทรศัพท์แจ้งตำรวจ แต่ผมเห็นคนไทยด้วยกันถูกทำร้าย ยังไม่ค่อยมีใครเข้าไปช่วยเลย ผมเป็นห่วงเรื่องนี้ ทำดีแทบตาย แต่ถ้าเราไม่ช่วยกัน เจอ ดคีเดียวก็พังทั้งระบบเลย อีกเรื่องที่เป็นปัญหาหนักคือ กระบวนการยุติธรรมของไทยที่ยังไม่เอื้อต่อกรณีที่นักท่องเที่ยวเป็นผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายเป็นชาวต่างประเทศ ต้องรีบทำการสอบสวนอย่างเร็ว แล้วนำพยานขึ้นสืบพยานก่อน สืบผู้เสียหายก่อน การจะลดคดีเกี่ยวกับนักท่องเที่ยว ทุกคนต้องมีส่วนช่วยกัน"
....................................................
(ตำรวจท่องเที่ยวยุคดิจิตอล เน้น 5S สร้างภาพลักษณ์เสริม 'ท่องเที่ยวไทย' : คอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษ : พล.ต.ต.รอย อิงคไพโรจน์ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว )