ไลฟ์สไตล์

'ผักเมืองหนาว'ปลอดสาร-ตลาดรับไม่อั้น

'ผักเมืองหนาว'ปลอดสาร-ตลาดรับไม่อั้น

29 พ.ย. 2555

พลิกวิถีปลูกผักเมืองหนาว ชูปลอดสาร-ตลาดรับไม่อั้น : โดย...กวินทรา ใจซื่อ

                        จากกระแสของผักปลอดสาร ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ต้องการของกลุ่มคนมากมาย โดยเฉพาะกลุ่มผู้รักสุขภาพที่หันมาบริโภคพืชผักเหล่านี้มากขึ้นนั้น ทำให้เกษตรกรอย่าง สุรินทร์ แสนบุตร เกษตรกรวัย 68 ปี อยู่บ้านเลขที่ 163 หมู่ 6 ต.ห้วยเตย อ.ซำสูง จ.ขอนแก่น มีแนวคิดปลูกพืชเมืองหนาว อาทิ บร็อกโคลี มะเขือเทศราชินี แครอท สร้างทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคที่มุ่งเน้นไม่ซ้ำใคร หมุนเวียนสับเปลี่ยนกับพืชท้องถิ่น สร้างรายได้ไม่น้อย

                        "ลุงสุรินทร์" บอกว่า อาชีพคือปลูกผักปลอดสารส่งขายให้กลุ่มปลูกผักปลอดภัยจากสารพิษบ้านสว่าง-ซำโอง มีทั้งคะน้า ผักกาดฮ่องเต้ ผักชี หอมแบ่ง ชะอม มะละกอ เป็นต้น จนเมื่อปี 2553 จึงหันมาปลูกพืชผักเมืองหนาวในพื้นที่ 3 งาน ใช้หลักการปลูกผักปลอดสารที่เคยทำมา ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคดีมาก แม้ราคาขายจะสูงกว่าผักปลอดสารที่ปลูกก็ตาม 

                        “เริ่มจากปลูกมะเขือเทศราชินี ใช้เวลา 3-4 เดือน ก็เก็บผลผลิตขายได้ กิโลกรัมละ 40-50 บาท ตลอดฤดูกาลมีรายได้กว่า 3 หมื่นบาท ไม่รวมกับผักปลอดสารอื่นๆ คิดว่ามาถูกทางแล้ว เพราะผักเมืองหนาวปลอดสารได้รับความนิยมมาก ปลูกเท่าไรก็ขายได้หมด ที่ปลูกอยู่ก็ไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด โดยได้รับคำปรึกษาจากเกษตรตำบลห้วยเตย ที่ให้คำแนะนำระยะนี้จึงปลูกแครอทเบบี้ และบร็อกโคลีด้วย”  

                        ส่วนขั้นตอนการปลูกไม่ต่างจากการปลูกพืชผักอื่นๆ เริ่มจากการเตรียมดิน เพาะพันธุ์กล้าผักให้เป็นต้นอ่อน จากนั้นจึงนำไปปลูกในแปลงที่เตรียมไว้ ใช้ปุ๋ยชีวภาพ สารไล่แมลงชีวภาพ รอบๆแปลงปลูกตะไคร้หอมและดาวเรือง เพื่อช่วยกันแมลงศัตรูพืช สำหรับแครอทเบบี้ใช้เวลาปลูกนานกว่า 1 เดือน ก็เก็บเกี่ยวผลผลิตได้     

                        “การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยชีวภาพ ถือเป็นกฎเหล็กที่สมาชิกกลุ่มปลูกผักปลอดสารต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะหากทางกลุ่มพบว่ามีการใช้สารเคมีจะส่งผลผลิตคืนทันที พร้อมกับตักเตือน หากไม่เชื่อฟังก็ต้องออกจากกลุ่ม" ลุงสุรินทร์ แจง

                        พร้อมระบุอีกถึงการปลูกผักเมืองหนาวว่า ต้องใช้เวลาดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด บางชนิดอาจปลูกยากกว่าผักปลอดสารท้องถิ่นชนิดอื่น อย่างแครอทใช้พันธุ์เบบี้แครอท ซึ่งหัวมีขนาดเล็ก มักประสบปัญหาเรื่องแครอทไม่เป็นหัวตามที่ต้องการ อีกทั้งหัวไม่สวย มีแมลงมากัดกินหัวตลอด แต่จากที่ได้รับคำปรึกษาจากเกษตรตำบลก็คิดว่าไม่ยากเกินไป ส่วนสภาพอากาศไม่มีปัญหา เพราะพื้นที่ อ.ซำสูง มีสภาพอากาศที่ไม่ต่างจากเมืองหนาว สามารถปลูกพืชผักเมืองหนาวได้

                        "ราคาขายแครอท ทางกลุ่มปลูกผักรับซื้ออยู่ในราคากิโลกรัมละ 40 บาท ซึ่งรับซื้อไม่จำกัด เพราะตลาดยังมีความต้องการอีกจำนวนมาก” เกษตรกรคนเก่ง กล่าว

                        ขณะที่ นายประจัญ ขันพิมล นักวิชาการส่งเสริมเกษตร สำนักงานเกษตรอำเภอซำสูง บอกว่า ก่อนจะเริ่มปลูกพืชผักเมืองหนาวเกษตรกรได้เดินทางศึกษาดูงานแปลงปลูกผักปลอดสารพิษใน จ.ขอนแก่น ซึ่งเกษตรกรที่นั่นสามารถทำได้จริง ถึงแม้จะประสบปัญหาบ้าง แต่ก็แก้ไขได้ จึงนำพันธุ์ผักเมืองหนาวมาทดลองปลูกในพื้นที่ ขณะนี้มีเกษตรกรให้ความสนใจ 3 ราย รวมทั้งลุงสุรินทร์ด้วย พร้อมเร่งขยายฐานความรู้ไปสู่กลุ่มเกษตรกรรายอื่นๆ ที่สนใจต่อไป 

                        "ปีหน้าคาดว่าจะมีกลุ่มเกษตรกรให้ความสนใจปลูกกันมากขึ้น เพราะผักเมืองหนาวถือว่ามีราคาสูง มีตลาดรับซื้อ ที่สำคัญการแข่งขันยังไม่สูงกับพืชผักที่ปลูกซ้ำกันหลายราย ทำให้เกษตรกรแจ้งความประสงค์ปลูกพืชเมืองหนาวเพิ่มขึ้น อีกทั้งเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่เกษตรกรได้ทดลองปลูก ที่สำคัญคือ การพัฒนาระบบน้ำให้มีน้ำทำการเกษตรตลอดทั้งปี"

 

 

--------------------

(พลิกวิถีปลูกผักเมืองหนาว ชูปลอดสาร-ตลาดรับไม่อั้น : โดย...กวินทรา ใจซื่อ)