ไลฟ์สไตล์

จี้'ร้านขายยา'เร่งปรับตัวรับอาเซียน

จี้'ร้านขายยา'เร่งปรับตัวรับอาเซียน

23 พ.ย. 2555

จี้ ผู้ประกอบการร้านขายยา เร่งปรับตัวรับอาเซียน หลังมีแนวโน้มต่างชาติรุกเพิ่ม ด้านชมรมร้านยาแห่งประเทศไทย หวั่นซ้ำรอยร้านชำทยอยปิดตัวหลังค้าปลีกรุกหนัก

               วันที่ 23 พฤศจิกายน 2556 เวลา 09:00 น. ที่โรงแรมรามาการ์ เด้นท์ ในการอภิปราย “ผลกระทบเออีซีต่อผู้ประกอบการร้านขายยา” จัดโดยชมรมร้านขายยาแห่งประเทศไทย ร่วมกับบริษัท ไบโอฟาร์ม เคมิคัลส์ จำกัด ภายใต้โครงการ “พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการร้านขายยาแห่งประเทศไทย

               ภก.ดร.นิลสุวรรณ ลีลารัศมี กรรมการอุตสาหกรรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ร้านยาเป็นธุรกิจที่ยังไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐในทุกกรณี ทำให้ข้อมูลร้านยาที่มีอยู่ไม่ชัดเจน แต่ทั้งนี้เราก็ควรรู้ว่าการเปิดการค้าเสรีจะมีผลกระทบต่อร้านยาในประเทศอย่างไร ซึ่งผลที่เกิดขึ้นมี 2 ส่วนคือ จากการเปิดการค้าเสรีทั้งเอฟทีเอและเออีซีจะทำให้มียาเข้ามาขายในประเทศมากขึ้น ซึ่งร้านยาจะต้องคัดกรองในเรื่องคุณภาพ ทะเบียนยา รวมถึงที่มาของยาว่าบริษัทใดผลิต จากประเทศไหน ทั้งนี้ยานำเข้าเหล่านี้จะมีราคาเท่ากับยาที่ผลิตในประเทศไทยหรืออาจถูกกว่า เพราะจะได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีนำเข้า มีเพียงแค่ค่าขนส่งเท่านั้น ขณะที่การผลิตยาในประเทศการนำเข้าวัตถุดิบและสารสำคัญทางยายังต้องเสียภาษี 2-5% ดังนั้นร้านยาจะมีรายการยาให้เลือกมากขึ้น แต่ต้องพิจารณาเลือกทั้งจากคุณภาพและราคา

               นอกจากนี้อาจมีชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนเปิดร้านยาแข่งกับร้านยาไทยมากขึ้น ทั้งจากประเทศสิงคโปร์ ลาว มาเลเซีย อินเดีย และจีน ซึ่งการเปิดให้ชาวต่างชาติลงทุนร้านยาในไทยมีการดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2552 ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมความพร้อม ทั้งนี้แม้ว่าตามกฎหมายไทยจะกำหนดให้ต่างชาติถือหุ้นในกิจการได้เพียง 49% แต่ในทางปฏิบัติก็จะมีผู้ถือหุ้นแทน สามารถควบคุมกิจการได้ ดังนั้นจำเป็นที่ร้านยาต้องมีการปรับตัวโดยเร็ว ไม่เพียงแต่แข่งขันกับการลงทุนจากต่างชาติเท่านั้น แต่ยังต้องแข่งขันกับบริษัทยาที่เปิดร้านยาในรูปแบบแฟรนไชส์ที่ทำกลยุทธ์ตลาด อย่างไรก็ตามหลังเปิดอาเซียนปี 2558 ในปี 2563 จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของร้านยาในประเทศมากขึ้น เชื่อว่าจะมีการลงทุนเปิดร้านยาทั้งจากเกาหลี จีน และอินเดีย

               "พอเปิดเสรีการค้าแล้ว กำแพงภาษีจะถูกลดลง ส่งผลให้ผู้ส่งออกยาในต่างประเทศจากที่เคยทำแต่ส่งออกจะหันมารุกเพื่อเปิดร้านยาในไทยแทนเพราะมองว่าคุ้มค่าและกำไรมากกว่า” กรรมการอุตสาหกรรรมแห่งประเทศไทย กล่าว

               นายวิชัย อรุณรักษ์รัตนะ ประธานชมรมร้านยาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การรับมือต่อการเปิดเออีซีร้านยาคงต้องมีการรวมตัวกันเพื่อเพิ่มอำนาจการแข่งขัน เพราะไม่เช่นนั้นคงสู้ไม่ได้ ทั้งการพัฒนาร้านยาให้ได้มาตรฐาน การบริหารรวมจัดซื้อยาเพื่อให้ได้ยาราคาถูกเทียบเท่ากับร้านใหญ่เพื่อลดต้นทุน ซึ่งส่วนใหญ่เราเป็นร้านยาเดี่ยว มีสมาชิกที่เป็นร้านยาแฟรนไชส์อยู่บ้างแต่ไม่มาก ขณะนี้มีสมาชิกทั่วประเทศประมาณ 6,000 แห่ง จากจำนวนร้านยาราว 8,000 แห่งทั่วประเทศ

               "ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะมีการเปิดเออีซีแล้ว แต่ร้านยาส่วนใหญ่ยังไม่ทราบและไม่ตื่นตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้อยากให้รัฐบาลเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อให้ร้านยารับทราบ เพราะไม่เช่นนั้นร้านยาที่เป็นของคนไทย ในที่สุดก็ต้องประสบปัญหาเช่นเดียวกับกรณีร้านชำราย ร้านค้าปลีกรายย่อยที่ค่อยๆ ปิดกิจการไป เนื่องจากสู้ค้าปลีกข้ามชาติไม่ได้" ประธานชมรมร้านยาแห่งประเทศไทย กล่าวและว่า ส่วนที่ร้านขายยาของไทยจะได้ประโยชน์อะไรจากเออีซีนั้น ยังมองไม่เห็น เพราะเราคงยังไม่มีศักยภาพที่จะไปลงทุนเปิดร้านยาในต่างประเทศได้

               ขณะที่ นายวีระพัฒน์ ถกลศรี กรรมการผู้จัดการบริษัทไบโอฟาร์ม เคมิคัลส์ จำกัด กล่าวว่า ในส่วนของบริษัทยาสามัญในประเทศไทยคงต้องมีการปรับตัวเพื่อรับมือเออีซีที่จะเกิดขึ้น ซึ่งในส่วนของบริษัทไบโอฟาร์มฯ ได้มีการปรับตัวเพื่อแข่งขัน โดยได้มีการพัฒนาผลิตยาจนได้มาตรฐานอียู จีเอ็มพี (พีไอซี/เอส) 3 ปีแล้ว ที่เป็นมาตรฐานการผลิตยายอมรับทั่วโลก โดยเป็นบริษัทแห่งเดียวในประเทศไทย ทำให้การส่งออกไปไม่เป็นปัญหา ที่ผ่านมาเรามีสัดส่วนการส่งออกถึงร้อยละ 20 และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ส่วนใหญ่ส่งไปยังประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ และศรีลังกา เป็นต้น และในอนาคตจะส่งออกไปเวียนนาม พม่าและประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม ทั้งนี้ยอมรับว่าการเปิดเออีซีทำให้ตลาดยาเติบโตขึ้น ที่ผ่านมาเราจึงมีการหาพันธมิตรทางการค้าเพิ่มเติมเพื่อส่งออก นอกจากนี้ยังได้รับการติดต่อจากบริษัทข้ามชาติเพิ่มเติมเพื่อให้บริษัทเราเป็นฐานการผลิตยาส่งออกในภูมิภาคนี้ ทั้งนี้ในปี 2556 บริษัทยังได้เตรียมลงทุนขยายโรงงานผลิตยา 400 ล้านบาท เพื่อเพิ่มการผลิตยา

               "ในการรับมือการเปิดเสรีการค้า รัฐบาลควรเข้ามาสนับสนุนบริษัทผลิตยาประเทศไทยในการยกระดับมาตรการผลิตให้ได้มาตรฐานจีเอ็มพี (พีไอซี/เอส) เพื่อให้บริษัทผลิตยาเหล่านี้อยู่รอดและสามารถส่งออกเพื่อแข่งขันได้ เพราะไม่เช่นนั้นเชื่อว่าจำนวนโรงงานยาในประเทศไทยจะลดลงหากมีการเข้มงวดมาตรฐานจีเอ็มพี (พีไอซี/เอส)  ส่วนยานำเข้าที่มีการปรับลดภาษีนั้น รัฐบาลคงไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เพราะเป็นข้อตกลงร่วมกันทางการค้า และมองว่าไม่น่ามีปัญหาจนส่งผลกระทบการแข่งขัน" กรรมการผู้จัดการบริษัทไบโอฟาร์ม เคมิคัลส์ จำกัด กล่าว และว่า นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละบริษัทที่ยาจะปรับตัวเพื่อแข่งขัน ซึ่งวันนี้ตลาดยาในประเทศไทยโตเพียงแค่ปีละ 7% แต่การเปิดเออีซีจะทำให้ตลาดยาเราโตขึ้นไปอีก จากเดิมที่มีประชากรเพียงแค่ 70 ล้านคน จะเพิ่มเป็น 500 ล้านคน และหากเพิ่มประเทศจีนและอินเดียจะทำให้ขยายไปถึง 3,000 ล้านคน

..................................................

( หมายเหตุ : ภาพจากแฟ้มข่าว )