
เตร็ดเตร่'เกโรบัก'แดนยะวา
เตร็ดเตร่ เกโรบัก แดนยะวา : คอลัมน์ ท่องไปกับใจตน เรื่อง-ภาพ... ธีรภาพ โลหิตกุล
เดือนก่อนมีโอกาสไปเตร็ดเตร่ย่านใจกลาง กรุงจาการ์ตา นครหลวงของอินโดนีเซีย ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในอาเซียน คือราว 230 ล้านคน ติดอันดับเป็นประเทศมุสลิมใหญ่สุดของโลกด้วย จาการ์ตาถือเป็น (ว่าที่) นครหลวงของ “ประชาคมอาเซียน” ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 เพราะสำนักงานเลขาธิการ สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือสมาคมอาเซียน (องค์กรที่จะให้กำเนิด “ประชาคมอาเซียน”) ตั้งอยู่ที่นี่ และหากจะหานครหลวงใด ที่มีประชากรราว 8-10 ล้านคน แถมอากาศร้อนและรถติดหนึบได้ใกล้เคียงกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ฯ ก็เห็นจะเป็นที่นี่แหละ...จาการ์ตา หรือจายาการ์ตา ที่แปลว่าเมืองแห่งชัยชนะ เพราะ “จายา” ในภาษาชวาก็คือ “ชัยยะ” เช่นเดียวกับชื่ออาณาจักรใหญ่ที่เคยรุ่งเรืองบนเกาะชวา เมื่อกว่า 1,200 ปีก่อน คือ “ศรีวิจายา” หรือ “ศรีวิชัย” นั่นเอง
จาการ์ตายังเหมือนกับกรุงเทพฯ ตรงที่มี “รถเข็น” ขายอาหารการกิน ขนมนมเนย และข้าวของเครื่องใช้สารพัด จนกล่าวได้ว่า รถเข็นขายของ ที่คนชวาเรียก “เกโรบัก” (Gerobak) คือลมหายใจของมหานครอย่างจาการ์ตา เพราะเพียง 2-3 ชั่วโมงที่เตร็ดเตร่ย่านกลางเมือง ผมพบสินค้าและอาหารแทบทุกชนิด วางจำหน่ายในเกโรบัก ทั้งแบบเข็นขายไปเรื่อยๆ และแบบจอดประจำอยู่กับที่ทุกหัวถนน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสะเต๊ะ ข้าวผัด ข้าวโพดต้ม หมี่ไก่ ไอศกรีม เต้าหู้ทอด เปาะเปี๊ยะ ผลไม้ ชา กาแฟ หนังสือพิมพ์ บุหรี่ ยาสีฟัน ยันเรือรบ มีครบครันในเกโรบัก
ในขณะที่ย่านใจกลางเมืองแท้ๆ แต่ผมนับ 7/11 ได้แค่สองร้านเท่านั้น โชเฟอร์รถรับจ้างอย่าง Hermann ให้เหตุผลกับผมว่า ราคาสินค้าในห้าง หรือตามร้านสะดวกซื้อจะแพงมาก เกโรบักจึงเป็นทางออกของชาวบ้านอย่างพวกเขา ขณะที่ Jenny เจ้าของกิจการก๋วยเตี๋ยวเกโรบัก ปรุงบะหมี่ไก่ (Mie Ayam) ได้รสชาติถึงใจให้เป็นมื้อเที่ยงของผมในจาการ์ตา เลยจัดการเสีย 2 ชาม สนนราคาชามละ 7,000 รูเปียห์ หรือ 20 กว่าบาท (1 บาท = 300 รูเปียห์ อยู่ที่นั่น วันๆ ใช้เงินเป็นแสน)
โซ้ยบะหมี่ไป ใจก็คิดไปว่า ด้วยขนาดประชากรถึง 230 ล้านคน เกโรบักจึงเป็นตัวช่วยกระจายสรรพสินค้าสู่มวลชนได้ดีที่สุด ทั้งยังกระจายโอกาสให้คนเล็กคนน้อย พอได้เป็นเจ้าของกิจการด้วย
แต่ในความเหมือนก็มีความต่าง เกโรบักของชวาออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตน คือเป็นกล่องไม้ติดล้อและมีที่เข็น จากนั้นจะใช้ขายอะไรก็เจาะช่อง หรือปรับแต่ให้เข้ากับของที่จะขาย แล้วระบายสีกับเขียนชื่อร้านตามใจชอบ เกโรบักจึงกลายเป็นเอกลักษณ์และสีสันประดับเมืองใหญ่อย่างจาการ์ตา แล้วไม่ได้อยู่แต่ในตรอกซอกซอยเท่านั้น แม้แต่บนถนนสายหลักใจกลางเมือง หรือด้านหน้าอาคารหรู ผมก็เห็นมีเกโรบักเข็นขายบะหมี่ และผลไม้กันสบายใจ ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ตำรวจเทศกิจเหมือนใน กทม. ยิ่งในย่านถนนคนเดิน จะมีเกโรบักแปลกๆ อย่าง เกโรบักขายผลไม้ตำมั่ว คล้ายส้มตำบ้านเรา หรือเกโรบักไอศกรีมทุเรียน ที่ใส่เนื้อทุเรียนสด จากการฉีกทุเรียนเป็นลูกๆ ให้เห็นกันตรงนั้นเลย ได้รสชาติและบรรยากาศดีเหลือเกิน
แต่ที่หาเท่าไรก็ไม่เจอคือ “เบจัก” (Becak) หรือ สามล้อ แรงคนปั่นจนน่องโป่ง หาไม่ได้แล้วในย่านใจกลางมหานครที่รถติดหนึบอย่างจาการ์ตาวันนี้ เท่าที่จำได้ ผมยังเห็น “เบจัก” ที่เมืองยอร์กยาการ์ตา ประตูสู่บุโรพุทโธ แต่ในจาการ์ตา รถสาธารณะพื้นฐานคือ “บาไจ” (Bajai/Bajaj) หรือรถสามล้อ คนที่นั่นก็นิยมเรียก “ตุ๊กตุ๊ก” เหมือนบ้านเรา มีคนตั้งข้อสังเกตว่ารูปลักษณ์ของตุ๊กตุ๊กชวานั้น ใกล้เคียงกับตุ๊กตุ๊กอินตะระเดียมาก พอกลับจากอินโดฯ แล้วไปอินเดีย ที่เมืองมุมไบ ก็ทราบว่าตุ๊กตุ๊กชวานั้นนำเข้าจากอินเดียจริงๆ
ที่ประทับใจอีกอย่างหนึ่ง คือคนอินโดนีเซียตามถนนรนแคมในเมืองใหญ่อย่างจาการ์ตา เป็นมิตรกับผู้ไปเยือนเกินกว่าที่ผมคาดคิดไว้มากมาย แต่อาจเป็นเพราะผมตระหนักรู้ว่าผู้คนที่นั่นส่วนใหญ่ถืออิสลาม ประกอบกับเตรียมท่องคำทักทายพื้นฐานของชาวชวาไปบ้าง จึงทำให้เข้าถึงพวกเขาได้ไม่ยาก แต่ลึกลงไปกว่านั้น ผมพบว่าคนระดับรากหญ้าในเมืองใหญ่ ก็มีปัญหาเรื่องการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเหมือนคนไทยนั่นแหละ ไม่เป็นไร เรากำลังจะเป็นครอบครัวเดียวกันในนาม “ประชาคมอาเซียน” ก็ช่วยกันฝึกปรือภาษาอังกฤษไปด้วยกัน ติดขัดอย่างไรในระยะแรก เราก็ยังมีภาษามือ ภาษาตา และภาษาหัวใจ ที่ใช้สร้างมิตรภาพได้ไม่แพ้กัน
พูดถึงคนอินโดนีเซียในประวัติศาสตร์ไทย สมัยกรุงศรีอยุธยามีเป็นชาวมุสลิมจากเกาะมากัสซาร์ (Makassar) เกาะหนึ่งของอินโดนีเซีย เข้ามาค้าขายตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คนไทยเรียกให้เข้าปากไทยว่า “แขกมักกะสัน” แต่มายุครัตนโกสินทร์ตอนต้น มีชาวมุสลิมจากเกาะชวา เกาะใหญ่สุดของอินโดนีเซียเข้ามาค้าขายมาก คนไทยก็เรียกแบบไทยว่า “แขกยะวา” ถึงแผ่นดินรัชกาลที่ 5 หลังเสด็จประพาสชวา พ.ศ.2444 แล้ว ทรงประทับพระราชหฤทัยในความงามของสวนพฤกษชาติที่ชวา จึงทรงนำชาวยะวาที่มีฝีมือในการตกแต่งสวน เข้ามารับงานในพระบรมมหาราชวัง วังสราญรมย์ พระราชวังบางปะอิน รวมถึงตกแต่งไม้ประดับในแนวถนนราชดำเนิน และปลูกต้นมะขามบริเวณท้องสนามหลวง จำนวนทั้งสิ้น 365 ต้น ผลงานแขกยะวาทั้งสิ้น
ต่อมา ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลในรัชกาลที่ 6 ที่จะปกป้องพื้นที่สีเขียวไว้ให้ชาวกรุงเทพฯ จึงพระราชทานที่ดิน ณ ตำบลศาลาแดง 360 ไร่ ให้เป็นสวนสาธารณะแห่งแรกของสยาม โดยกลุ่มคนที่มีบทบาทในการบุกเบิก “ป่ารกด้านทิศใต้พระนคร” ให้กลายเป็น “ลุมพินีสถาน” หรือ “สวนลุมพินี” คือบรรพบุรุษของมุสลิมยะวา หรือ “แขกยะวา” ที่วันนี้ตั้งชุมชนอยู่โดยรอบมัสยิดอินโดนีเซีย ซอยสนามคลี หรือซอยโปโล แขวงลุมพินีนั่นเอง จนกล่าวได้ว่า มุสลิมยะวาที่เข้ามาในสยาม คือ “นักอุทยานรังสรรค์” โดยแท้
ถึงวันนี้ ลูกหลานมุสลิมยะวาในสยาม ที่คนไทยรู้จักดี อาทิ อาจารย์บรรจง บินกาซัน และ รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฯลฯ พอได้ยินชื่อ ก็ทำให้เรารู้ว่า “แขกยะวา” นั้น ใกล้ตาและชิดใจเรามานานแล้ว อยู่ที่เราใส่ใจจะเรียนรู้ความเป็นมาของพวกเขาหรือไม่?
.......................................
(หมายเหตุ เตร็ดเตร่ ‘เกโรบัก’ แดนยะวา : คอลัมน์ ท่องไปกับใจตน เรื่อง-ภาพ... ธีรภาพ โลหิตกุล)