ไลฟ์สไตล์

หนังสือที่เธอถือมา:ไอติม(๑)

หนังสือที่เธอถือมา:ไอติม(๑)

04 พ.ย. 2555

หนังสือที่เธอถือมา : ไอติม (๑) : โดย...ไพวรินทร์ ขาวงาม

----------

 

๑.

                 “ไอติม...ไอติม...ไอติม...”

                 คำสั้นๆ ติดปาก  นึกภาพออกทันทีว่าหมายถึง “ไอศกรีม”  จากภาษาฝรั่ง  แต่เวลาเขียนหรือพูด  ผมมักใช้ภาษาที่ติดปากนี่แหละ เช่น “จากเด็กชายไอติม ถึงนายกาแฟ”

                 ขนมที่ทำจากน้ำแข็งเย็นๆ หวานๆ  ทั้งแบบแท่ง  แบบถ้วย  แบบตัก  แบบตัด อะไรนี่มีที่มาที่ไปอย่างไรไม่รู้  รู้แต่ว่ามันเข้ามาหาเราตั้งแต่เป็นเด็ก  ไม่ว่าจะเป็นเด็กบ้านนอกหรือในเมืองล้วนต้องเคยพบเจอเสน่ห์เย้ายวนของไอติม  ที่มากับรถเข็น  รถถีบ  รถเครื่อง (ยังไม่ต้องพูดถึงร้านไอติมหรูตามห้าง) 

                 เด็กกินได้  ผู้ใหญ่กินดี  ผมโตมากว่าครึ่งคน  ไอติมก็มีมาให้ชิมอยู่เสมอ  แม้ตั้งใจลดหวานก็ต้องเจอไอติม  เพราะลูกๆ หลานๆ นั้น  เขาอดใจไม่ได้หรอก  เมื่อรถไอติมผ่านมา    

                 สมัยเข้าไปอยู่กรุงเทพฯ ใหม่ๆ  มีวาสนาได้ไปพัวพันกับไอติม  ตอนนั้นเพิ่งมุ่งมั่นอ่านหนังสือและแต่งกลอน  อยากหางานทำ  บังเอิญภรรยาของกวีมีชื่อเสียงคนหนึ่งกำลังขายไอติมแบบตู้ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง  เป็นไอติมแบบตักใส่ถ้วยตามสูตรต่างๆ ซึ่งล้วนแต่ชื่อฝรั่ง  พี่ผู้หญิงชวนให้ไปช่วยงาน  สอนวิชาตักไอติมให้  ได้ประสบการณ์อยู่ช่วงหนึ่ง  นอกจากได้ขายแล้ว  ยังมีโอกาสได้กินไอติมแบบผู้ดีอยู่บ่อยๆ

                 หลายปีในกรุงเทพฯ  เมื่อเลิกขายไอติมหน้าร้านอาหาร  ชีวิตยังพัวพันกับไอติม  โดยมิได้นัดหมาย  ผมได้พบและรับรู้ขึ้นเรื่อยๆ ว่าคนขายไอติมรถเข็นเร่ขายตามทางเท้าในเมืองหลวงนั้น  ส่วนใหญ่เป็นคนอีสาน  และจำนวนไม่น้อยมาจากบ้านเกิดของผมเอง  รวมทั้งพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน

                 เวลาไปไหนมาไหนจึงมักได้พบเจอคนรู้จักจากบ้านเดียวกัน  ได้ไปเยี่ยมบ้านที่พวกเขาเช่ากันอยู่  รวมทั้งได้ไปเห็นโรงงานไอติมที่พวกเขาไปรับไอติมออกเร่ขายเป็นรายวัน  บางคนขยันขันแข็งเก็บเล็กผสมน้อย  ได้เป็นเถ้าแก่โรงไอติมเองก็มี  

                 ไอติมรถเข็นเร่ขาย  ถือเป็นงานอิสระอย่างคิดไม่ถึง  ขายก็ได้เงิน  ไม่ขายก็ไม่ได้เงิน  แค่ไปเช่ารถเข็นและไอติมจากเถ้าแก่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนคุ้ยเคยกัน  ขายได้ก็ไปหักต้นทุน  เหลือก็เป็นกำไร  อยากกลับบ้านไปทำนาก็กลับ  สะดวกเข้าไปขายไอติมก็ไปขาย  คนขายไอติมจากบ้านนอกมักจะเช่าบ้านราคาประหยัดอยู่รวมกัน  กินอยู่แบบประหยัด  บางคนรู้จักพระก็ไปกินข้าวแบบเด็กวัด  เป้าหมายของพวกเขามิใช่การไปอยู่กรุงเทพฯ เพื่อหากินหาใช้อย่างสุขสำราญ  แต่เพื่อเก็บเงินเก็บทองไว้สำหรับกลับไปหาครอบครัวที่บ้านนอก  คนขายเก่งขายคล่องมีลูกค้าประจำ  ในเดือนหนึ่งอาจได้โทรทัศน์  ตู้เย็น โทรศัพท์มือถือ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ให้ลูกให้เมีย   บางคน-รายได้ต่อเดือนมากกว่าคนเขียนหนังสืออย่างผมเสียอีก  เพียงแต่ต้นทุนและราคาที่ต้องจ่ายอาจแตกต่างกัน  พวกเขาเข้าเมืองไปหาเงินกลับบ้านนอก  ผมเข้าเมืองเพื่อใช้ชีวิตในแบบคนเมือง      

 

๒.

 

                 พี่ชายผมสองคนจากบ้านนอก  ก็ล้วนรวมอยู่ในขบวนการนักรบรับจ้างขายไอติมเร่ในเมืองหลวง  เลี้ยงลูกจนเป็นหนุ่มเป็นสาว  ส่งลูกเรียนจนจบและมีงานทำตามกำลัง  

                 ถึงเหนื่อยและหนัก  แต่ก็เป็นทางออกเดียวที่พึงมีของคนอาชีพทำนา  การขายไอติมเปิดอิสระให้เทียวไปเทียวมาตามความสะดวก  หากให้ไปเป็นคนงานก่อสร้าง  คนขับแท็กซี่  หรือคนรักษาความปลอดภัย  อย่างไรก็ไม่สะดวกเท่ากับการไปเดินเร่ขายไอติม

                 น้องชายผมคนหนึ่ง  ตอนเรียนจบประถมไม่ได้เรียนต่อ  ให้ผมช่วยหางานให้  ไม่อยากสืบทอดวิถีคนขายไอติม  มันเสี่ยงรถรา  และไม่น่าจะถนัดเพราะพูดจาไม่เก่ง  ผมพาไปหาเพื่อนซึ่งมีโรงงานทำรองเท้าขนาดย่อม  ฝากเขาเข้าทำงาน  แต่เอาเข้าจริงเขาก็ถอย  ไม่เอางานช่างรองเท้า  กลับมาหางานขายไอติมหลายปีแล้ว  ปรากฏเขาขายไอติมคล่อง  จนเลิกทำนา  ยกนาให้พี่น้องเช่าทำ  เข้ากรุงเทพฯ ขายไอติมอย่างเดียว   

 

๓.

 

                 พบกันในวงข้าวพร้อมหน้าพี่น้อง  เขาบอกผมว่าลูกสาวกำลังอยากได้โน้ตบุ๊ก  เขาจะซื้อให้  ลูกสาวของเขาเรียนมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่ง  ใกล้จะจบแล้ว....

                 ลูกชาวนา  เลิกทำนา ขายไอติมส่งลูกเรียนปริญญา  ชีวิตหวานเพียงนั้นหรือ?  

                 ถามเขาว่าไม่สนใจเรื่องจำนำข้าวหรือ?  เขาบอกไม่!

 

 

 

--------------------

(หนังสือที่เธอถือมา : ไอติม (๑) : โดย...ไพวรินทร์ ขาวงาม)