ไลฟ์สไตล์

'เฟซบุ๊ก'สื่ออาชญากรรมออนไลน์

'เฟซบุ๊ก'สื่ออาชญากรรมออนไลน์

04 พ.ย. 2555

ข่าวลูกชายวัย 14 ปี ใช้มีดฟันแม่บังเกิดเกล้าจนเสียชีวิตที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ในบ้านเรา

                       ข่าวลูกชายวัย 14 ปี ใช้มีดฟันแม่บังเกิดเกล้าจนเสียชีวิตที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ในบ้านเรา กลายเป็นข่าวที่คนในสังคมไทยให้ความสำคัญในระดับหนึ่ง และมีแนวโน้มว่าข่าวนี้จะกลืนหายไปกับสายลม เพราะมีข่าวการเมืองที่ร้อนแรงกว่ามากลบ

                      อย่างไรก็ดี การกระทำมาตุฆาตในครั้งนี้มีสาเหตุมาจากการที่เด็กชายคนดังกล่าว "ติดเกม" อย่างรุนแรง และความรุนแรงในเกมก็ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในจิตใจอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็นภูมิคุ้มกันความคิดผิดชอบชั่วดี ทำให้หนุ่มน้อยใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ลงมือสังหารแม่บังเกิดเกล้าได้

                      ถ้ามองกันให้ดีๆ แล้ว จะเห็นปมปัญหาอยู่ที่การหมกมุ่นกับการใช้เวลาอยู่กับ "สื่อ" ที่มีความรุนแรงอยู่ตลอดเวลา และ "สื่อ" ประเภทนี้ก็สามารถพบเห็นได้ทั่วไปทั้งโลกออนไลน์ และออฟไลน์

                     เมื่อไม่นานมานี้ก็มีผลวิจัยจากประเทศเยอรมนี ที่ระบุว่า "เฟซบุ๊ก" เป็น "สื่อ" ที่ทำให้วัยรุ่นหมกมุ่นกับการใช้อินเทอเน็ต และสี่ยงต่อการเกิดอันตรายที่แฝงตัวมากับโลกออนไลน์อย่างเงียบๆ โดยเพาะอย่างยิ่งประชากรกลุ่มผู้หญิงอายุน้อยที่จะใช้เวลากับโซเชียลมีเดียเป็นเวลานานๆ ซึ่งเป็นปัจจัยที่นำ "ภัย" ในรูปแบบต่างๆ ข้ามาถึงตัว

                     นายเบิร์น เวอร์เนอร์ นักวิจัยแห่งกองทุนการวิจัยการเสพติดสื่อและโลกออนไลน์แห่งประเทศเยอรมนี อธิบายว่า กลุ่มผู้หญิงอายุน้อยมักจะคอยติดตามความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดียอยู่อย่างต่อเนื่อง  และมักจะ "แชท" กับเพื่อนๆ อยู่เป็นประจำเพื่อถามข่าวคราวความเคลื่อนไหว โดยมีปัจจัยขับดันมาจากกลุ่มเพื่อน หรือคนใกล้ชิด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกีดกันออกจากกลุ่ม หรือ "เอาท์" ภาษาวัยรุ่นที่แปลได้ง่ายๆ ว่า "เชย"

                    ปัญหาสำคัญ ณ จุดนี้ก็คือการที่พ่อแม่ ผู้ปกครองต่างไม่ตระหนักถึงภัยที่เกิดขึ้นจากการเสพติดโซเชียลมีเดีย โดยไม่มีการควบคุม หรือให้คำแนะนำอย่างเพียงพอ  กลุ่มตัวอย่างบางคนถึงกับยอมรับว่า ตนเองไม่รู้ว่าจะควบคุมเวลาการอยู่บนโลกออนไลน์อย่างไร เพราะหลงระเริงไปกับสื่อต่างๆที่ปรากฏบนโซเชียลมีเดียและเกมออนไลน์ ทำให้สภาพจิตใจของกลุ่มตัวอย่างที่สารภาพว่า "เสพติดโซเชียลมีเดีย" มีความอดทนต่อปัจจัยทางกายภาพที่มากระทบกับตัวเองต่ำ

                   ปัญหาสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ เด็กหญิงกลุ่มตัวอย่างที่ติดการเสพสื่อโซเชียลมีเดียอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น มีแนวโน้มที่จะปลีกตัวออกจากสังคม ไม่สนใจในการทำกิจกรรมสันทนาการอื่นๆ เช่นงานอดิเรก

                   ผู้วิจัยก็ได้ให้คำแนะนำไว้ว่าควรตั้งคอมพิวเตอร์ในพื้นที่ส่วนกลางของบ้าน ที่มีผู้เดินผ่านไปผ่านมาอยู่บ่อยๆ เพื่อควบคุมและให้คำแนะนำแก่ลูกหลานในการใช้อินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น

                   รวมทั้ง "ไม่แนะนำใหพ่อ-แม่ซื้อสมาร์ทโฟนให้เป็นของขวัญแก่ลูกที่ยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ" 

                   นอกจากภัยจากไวรัสที่จะคืบคลานผ่านสายอินเทอร์เน็ตเข้ามาในเครื่องคอมพิวเตอร์ของที่บ้านแล้ว ยังมีภัยที่เด็กๆ อาจจะถูกล่อลวงไปทำร้าย ข่มขืน กรรโชกทรัพย์ หรือแม้กระทั่งการสังเวยชีวิต ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศอินโดนีเซีย เมื่ออาชญากรรายหนึ่งเป็นชายวัย 24 ปีชื่อ "โยกี้" ได้ล่อลวงสาวน้อยอายุ 14 ปี ผ่านทางเฟซบุ๊กให้ไปพบกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ก่อนที่จะวางยาเด็กสาวและข่มขืนกระทำชำเราพรากความบริสุทธิ์ของเด็กสาวไปโดยไม่ได้สมยอม

                   ตำรวจพบด้วยว่าสถานที่เกิดเหตุ เป็นเซฟเฮ้าส์ ที่นายโยกี้ได้ก่อเหตุเช่นนี้กับเด็กสาวมาหลายต่อหลายคนแล้ว และทุกคนก็ใช้การติดต่อผ่านทางเฟซบุ๊ก

                   หลังจากข่มขืนอย่างหนำใจแล้ว นายโยกี้ ก็จัดส่งเด็กสาวทั้งหมดลงเรือไปยังเกาะบาตาม เพื่อขายเหยื่อทั้งหมดให้แก่เจ้าของสถานบริการทางเพศ ต่อไป

                   เฉพาะในปี 2555 นี้มีเด็กสูญหายไปจากบ้านราว 129 คน และในจำนวนนี้ 27 คน เกิดจากการล่อลวงผ่านเฟซบุ๊ค ที่สำคัญเหยื่ออาชญากรในเฟซบุ๊คนั้นต้องสูญเสียชีวิตไปเพราะความไม่รู้แล้ว 1 ราย

                    นี่จะถึงเวลาของพ่อแม่จะให้เวลากับการดูแลลูกเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันและรู้เท่าทันภัยที่ผ่านมาจากสื่อโซเชียลมีเดียกันได้หรือยัง

                    ที่สำคัญ "โทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ไม่ได้ให้ความอบอุ่นแก่ลูกได้มากกว่าอ้อมกอดของพ่อแม่แม้แต่น้อย"