ไลฟ์สไตล์

สุ่มตรวจตู้น้ำหยอดเหรียญทั่วประเทศ

สุ่มตรวจตู้น้ำหยอดเหรียญทั่วประเทศ

22 ต.ค. 2555

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สุ่มตู้น้ำหยอดเหรียญทั่วประเทศ 2,000 ตัวอย่าง พบคุณภาพน้ำไม่ผ่านมาตรฐานถึงร้อยละ 37.8 ปนเปื้อนทั้งด้านเคมี-จุลินทรีย์ อุดรฯ-ตรัง-สุราษฎร์ธานีแย่สุด สงขลาดีสุด จี้สำนึกผู้ประกอบการตรวจสอบตู้น้ำหยอดเหรียญสม่ำเสมอ เปลี่นตัวกรองเมื่อเสื

                     22 ต.ค.55 นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์โดยศูนย์วิทยาศาตร์การแพทย์และสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร(สคอ.) ร่วมมือกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.)และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการสุ่มเก็บตัวอย่างจากตู้น้ำหยอดเหรียญทั่วประเทศจำนวน 2,000 ตัวอย่าง แบ่งเป็นชลบุรี 203 ตัวอย่าง นครสวรรค์ 160 ตัวอย่าง สุราษฎร์ธานี 155 ตัวอย่าง เชียงใหม่ 140 ตัวอย่าง นครราชสีมา 120 ตัวอย่าง พิษณุโลก 107 ตัวอย่าง สงขลา ภูเก็ต ขอนแก่น อุดรธานี เชียงราย สมุทรสงคราม จังหวัดละ 100 ตัวอย่าง อุบลราชธานี 50 ตัวอย่าง ตรัง 40 ตัวอย่าง และสคอ. 425 ตัวอย่าง

                     ทั้งนี้ ผลการตรวจสอบ พบว่า คุณภาพน้ำไม่ผ่านมาตรฐาน 751 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 37.8 ซึ่งจังหวัดที่พบว่าน้ำที่ได้จากตู้หยอดเหรียญไม่ผ่านมาตรฐานมากกว่าร้อยละ 50 คือ อุดรธานี ตรัง และสุราษฎร์ธานี จังหวัดที่มีน้ำจากตู้หยอดเหรียญไม่ผ่านมาตรฐานต่ำกว่าร้อยละ 50 แต่สูงกว่าร้อยละ 40 คือ ชลบุรี นครสวรรค์ เชียงใหม่ และนครราชสีมา ส่วนจังหวัดที่เหลือไม่ผ่านเกณฑ์น้อยกว่าร้อยละ40 ขณะที่น้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญ จ.สงขลามีคุณภาพดีที่สุด คือพบว่าไม่ผ่านมาตรฐานเพียงร้อยละ 12 เท่านั้น ขณะที่ในกรุงเทพฯไม่ผ่านมาตรฐาน ร้อยละ 22 ซึ่งการตรวจมาตรฐานจะดูคุณภาพของน้ำ ตัวกรองน้ำ การปนเปื้อนของจุลินทรีย์ รวมไปถึงสถานที่ตั้งของตู้น้ำหยอดเหรียญ

                     นพ.นิพนธ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของตู้น้ำหยอดเหรียญที่ไม่ผ่านมาตรฐาน พบว่าร้อยละ 26 เป็นเรื่องของเคมี คือมีปริมาณสารแขวนตะกอนที่ตัวกรองน้ำกรองไม่หมด ความเป็นกรด ด่าง ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ความกระด้างของน้ำและการปนเปื้อนของโลหะหนัก เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และตะกั่วมากกว่าปกติ แสดงว่าคุณภาพตัวกรองมีปัญหา ขณะเดียวกันยังพบจุลินทรีย์ปนเปื้อน ร้อยละ 16 โดยพบเชื้อโคลิฟอร์มมากที่สุด ซึ่งเชื้อชนิดนี้บ่งบอกถึงความสะอาดของน้ำดื่มจากตู้ดังกล่าว หากได้รับเชื้อดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดอาการทางเดินอาหารภายใน 2- 24 ชั่วโมง โดยจะมีอาการท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน จึงอยากขอให้ผู้ประกอบการใส่ใจผู้บริโภคด้วย โดยที่ควรจะมีกำหนดการเปลี่ยนตัวกรองน้ำในแต่ละตู้ มีการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ อาจจะเปลี่ยนตัวกรองอย่างน้อย 6 เดือน หรือ 1 ปีครั้ง อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาจากน้ำดิบในแต่ละพื้นที่ด้วย หากคุณภาพน้ำดิบในพื้นที่ใดไม่ดีนักควรเปลี่ยนตัวกรองให้บ่อยขึ้น

                    นางจุรีภรณ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ผู้บริโภคควรสังเกตสถานที่ตั้งของตู้น้ำโดยไม่ควรตั้งใกล้กับที่ทิ้งขยะ ดูความขุ่นของน้ำหากมีสีขุ่นแสดงถึงการปนเปื้อนโลหะหนัก และน้ำดื่มสะอาดจะต้องไม่มีกลิ่น ส่วนขวดที่นำไปใส่น้ำควรที่จะใช้ขวดแก้วเพื่อที่จะสามารถอบทำความสะอาดได้ หากใช้ขวดพลาสติกอาจเกิดการกร่อนของพลาสติกแล้วร่วงหล่นลงในน้ำได้ และควรต้มน้ำก่อนนำมาดื่มทุกครั้ง