ไลฟ์สไตล์

แม้ในดินแดนมืดหมองที่สุดของชีวิต

แม้ในดินแดนมืดหมองที่สุดของชีวิต

14 ต.ค. 2555

หนังสือที่เธอถือมา : แม้ในดินแดนมืดหมองที่สุดของชีวิต : โดย...ไพวรินทร์ ขาวงาม

----------

 

1.

รู้สึกโล่ง-เมื่อเดินลงจากที่ทำการไปรษณีย์  หลังส่งจดหมายด่วนพิเศษไปยังเรือนจำกลางบางขวาง

                เป็นจดหมายที่ผมเขียนด้วยลายมือ  ตอบจดหมายลายมือของสองนักโทษประหาร  ที่เขาเขียนถึงผมเพื่อปรึกษาเรื่องบทเพลงที่แต่งไว้จำนวนมาก  

                เบื้องต้นก็ได้แต่พูดคุยถึงแนวทางที่พอจะเป็นไปได้  นั่นคือขอให้เขาคัดเลือกเพลงที่คิดว่าชอบๆ ดีๆ สักจำนวนหนึ่ง  ทั้งคำร้องและทำนองส่งมาให้ฟัง  เพื่อจะฝากไปยังผู้สนใจในสายอาชีพเพลงต่อไป

                จะว่าไป  ก็เป็นเรื่องยุ่งยากใจไม่น้อย  ด้วยต้องแบกความฝันของพวกเขาไว้  ยามนี้ผมต้องถูกคาดหวังแน่ๆ  ทั้งที่ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจใดๆ เลย  นอกจากการเป็นตัวเชื่อมบ้าง  ตัวช่วยบ้าง

                แต่เมื่อนึกถึงแววตาของพวกเขา  เมื่อมองเห็นความฝันของพวกเขา  ในพื้นที่และเวลาอันจำกัด  ผมบอกกับตัวเองว่า  เอาล่ะ-ต้องเรียนรู้กันสักครั้ง  มันอาจมีสิ่งดีๆ ให้เราค้นพบร่วมกันบ้างก็ได้

 

2.

“เพลงทำให้ผมอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น  ไม่คิดถึงอดีต  หรือนาคตอีกแล้ว...ถึงผมจะตาย  แต่อย่างน้อยเพลงผมก็ยังอยู่ให้พ่อกับแม่ได้ภูมิใจบ้างว่า  ลูกของแม่ก็เป็นคนมีค่ากับเขาเหมือนกัน...”

                ใน คม ชัด ลึก ฉบับวันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2548  จิรา  บุญประสพ ได้เขียนเรื่อง “บทเพลงจากแดนประหาร  หัวใจเสรีที่ ‘คุก’ ไม่อาจกักขังได้”  เป็นเรื่องราวของ น.ช. ผู้หนึ่ง ซึ่งผมได้เล่าไปบ้างแล้ว  เขาเป็นผู้แต่งเพลง “หนีรักมาพักดอยตุง” ขับร้องโดย ไทด์  ธนาพล 

                จุดเปลี่ยนของเขาจากผู้หดหู่สิ้นหวัง “ตอนนั้นมันอยากหลับ โดยไม่ต้องตื่น  คนมันมืดไปแล้วน่ะ  อารมณ์สับสนไปหมด  มันทั้งเจ็บ  เศร้า  เหงา  แค้น  โกรธ  มีทุกอารมณ์”  ก็ต่อเมื่อวันหนึ่ง  “เขาออกมานั่งเหม่ออยู่ข้างกำแพงในแดน 2 ด้วยความคิดถึงบ้าน  คิดถึงพ่อแม่  คิดถึงความทุกข์ใจของคนที่รักทั้งสอง  สายตาก็เหลือบไปเห็น ยอดมันแกวเล็กๆ  แตกยอดลอดออกมาจากรอยแตกของกำแพงซีเมนต์หนาทึบ  ยอดไม้เล็กๆ ที่พยายามดิ้นรนจะมีชีวิตอยู่รอด  โดยไม่ยอมจำนนต่ออุปสรรคอันหนักหนา  ได้จุดประกายให้นักโทษที่มืดมนและยอมจำนนคนหนึ่ง  คิดถึงการลุกขึ้นมาใหม่...”

                ประสบการณ์พื้นฐานทางบทกลอนและบทเพลงที่เขาได้รับมาสมัยเรียนหนังสือ  ทำให้เขาลงมือแต่งบทกลอน  แต่งบทเพลง  กระทั่งการพลิกวิกฤติเป็นโอกาสของเขาเป็นผลตามที่ใฝ่ฝัน  แม้จะเป็นบทเพลงเล็กๆ ของคนแต่งเพลงเล็กๆ ในพื้นที่และเวลาอันจำกัด  แต่เขาก็  “มันเหมือนฝันไปเลย  ผมภูมิใจมาก  ไม่รู้ว่าจะมีเวลาอยู่เห็นเพลงได้ออกมาเป็นเพลงหรือไม่  แต่ช่างมันเถอะ  มันทำให้ผมรู้สึกมีค่าขึ้นมาอีกครั้ง  ที่สำคัญผมสามารถหาเงินจากในคุก  ส่งให้พ่อกับแม่ได้...”

                วิชากลอน  วิชาเพลง  ที่มีติดตัวเขาเล็กๆ น้อยๆ  แบบรู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามนั้น  เขาคงไม่คาดคิดหรอกว่าวันหนึ่ง  มันสามารถกอบกู้สถานะชีวิตจิตใจของเขาได้  อย่างน้อยก็ในระดับที่ไม่เลวเลย

                ผมชอบคิดถึงเรื่องของ น.ช. ผู้นี้  ได้ยินว่าในปีนั้นเขาออกรายการ “คนค้นคน” ด้วย  เพียงแต่ไม่ได้ติดตาม  ได้อ่านแต่ที่เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์  และมักนำไปเล่าประกอบการพูดเรื่องกลอนเรื่องเพลงอยู่เสมอ              

                แม้ว่าเขาจะเป็นนักโทษประหาร  ไม่ว่าเขาจะทำผิดจริงหรือไม่ก็ตาม  แต่นี่ก็เป็นกรณีศึกษาวิชาภาษาไทย-ภาษาใจ ที่สามารถติดตัวผู้คนไปทุกหนทุกแห่ง  แม้ในดินแดนมืดหมองที่สุดของชีวิต... 

 

3.

สำหรับสองนักโทษประหาร ที่เขียนจดหมายลายมือถึงผม  นอกจากเป็นนักโทษ  ผมเชื่อว่าเขายังเป็นนักแต่งเพลง  ด้วยความรักความชอบส่วนตัว  ด้วยแรงบันดาลใจอันพึงมีพึงเป็นของพวกเขา

                ขณะเรือนจำขังเรือนกายตามบัญชากฎหมาย  เรือนใจยังเคลื่อนไหวดิ้นรนถึงอิสรภาพ  อย่างน้อยวิชาบทกลอนและวิชาบทเพลงของเขา  ก็อาจมีเสรีได้โบยบินผ่านซี่กรงเหล็กคับแคบ สู่ที่โล่งกว้างไกล

                รอแต่-จังหวะ เวลา  พื้นที่  และโอกาสอันพึงเป็นไปได้ของแต่ละบุคคล!

 

 

--------------------

(หนังสือที่เธอถือมา : แม้ในดินแดนมืดหมองที่สุดของชีวิต : โดย...ไพวรินทร์ ขาวงาม)