ไลฟ์สไตล์

สืบวัฒนธรรมสานสัมพันธ์2แผ่นดิน

สืบวัฒนธรรมสานสัมพันธ์2แผ่นดิน

11 ต.ค. 2555

ศิลปวัฒนธรรม : สืบวัฒนธรรม สานสัมพันธ์ 2 แผ่นดิน

                            ด้วยความสำนึกถึงบรรพบุรุษที่หอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากจีนโพ้นทะเล บวกกับความฝังใจเมื่อวัยเยาว์ที่มีโอกาสเป็นหนึ่งในสมาชิกวงดนตรีจีน แต่มีอันต้องเลิกล้มไปหลังจากก่อตั้งได้เพียงไม่กี่ปี เป็นแรงผลักดันให้ ศักดิ์ชัย อุ่นจิตติกุล เลขามูลนิธิศาลเจ้าปู่-ย่า อุดรธานี เป็นหัวเรือใหญ่ในการก่อตั้งวงดนตรีจีนขึ้นอีกครั้งในชื่อ "วงดนตรีจีนออร์เคสตราจีน มูลนิธิศาลเจ้าปู่-ย่า อุดรธานี" เมื่อปี 2554 โดยมี ปรีชา ชัยรัตน์ ประธานมูลนิธิฯ ให้การสนับสนุนทุนทรัพย์ส่วนตัวในการจัดหาเครื่องดนตรีและค่าใช้จ่ายในการฝึกซ้อม

                            ล่าสุดทางวงยังได้รับเกียรติร่วมบรรเลงเพลงบนกำแพงเมืองจีนในงาน "ไทย-จีน ร่วมมิตรภาพ ฉลองวันชาติจีน" ตามคำเชิญของสถาบันพัฒนาดนตรีแห่งชาติจีน และคว้าแชมป์ประเภทวงในการประกวดวงออร์เคสตราจีน "ไชน่า (อินเตอร์เนชั่นแนล) เทรดิชินอล อินสทรูเมนทัล มิวสิก อาร์ท เฟสติวัล" ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่จัดขึ้นเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างไทยและจีน ทั้งยังเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางด้านดนตรีระหว่างทั้ง 2 ประเทศด้วย

                            ศักดิ์ชัย เผยว่า วงดนตรีจีนออร์เคสตร้าจีน มูลนิธิศาลเจ้าปู่-ย่า อุดรธานี เป็นวงดนตรีจีนออร์เคสตราจีนวงแรกของประเทศไทย ก่อกำเนิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของบรรพบุรุษ และสืบสานศิลปะการแสดงดนตรีจีนให้เป็นที่รู้จักแก่คนรุ่นหลังต่อไป ภายในวงมีนักดนตรี 120 คนจากโรงเรียนใน จ.อุดรฯ ไม่ว่าจะเป็น อุดรวิทยา อุดรพิทยานุกูล ประจักษ์ศิลปาคาร มาลีพิทักษ์ สตรีราชินูทิศ ดอนบอสโก เซนต์เมรี่ต์ และม.ราชภัฏอุดรธานี มีเครื่องดนตรีจีนมากถึง 40 ชนิดอาทิ กู่เจิง ซอเอ้อหู ผีผา (พิณหยดน้ำ) จงหยวน (พิณพระจันทร์) หยางฉิน (ขิม) ตี่จือ(ขลุ่ย) หล่าปา (ปี่) เป็นต้น โดยมี อ.ช่อ แซ่โง้ว ผู้ชำนาญเครื่องดนตรีจีนจากประเทศจีน เป็นผู้ฝึกสอนและทำหน้าที่วาทยากร ทั้งนี้การเดินทางมาแสดงครั้งนี้ถือเป็นการแสดงเต็มวงครั้งแรก หลังจากทุ่มเทเวลาซ้อมมานานถึง 6 เดือนเต็ม โดยใช้ช่วงเวลาหลังเลิกเรียนวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ตั้งแต่บ่าย 3 ครึ่งจนถึงหนึ่งทุ่มตรง

                            ด้าน อ.ช่อ แซ่โง้ว ผู้ฝึกสอนและวาทยากร บอกว่า การมาครั้งนี้ทางวงเตรียมเพลงมาบรรเลงทั้งหมด 4 เพลง ได้แก่ เพลงเกอฉ่างจู่กั้ว หรือเพลงสดุดีมาตุภูมิ เป็นเพลงฉลองวันชาติจีน เพลงฉ่ายหวินจุ่ยเยียว บทเพลงที่แสดงถึงความสามัคคีของชาวจีน เพลงสายฝน บทเพลงพระราชนิพนธ์บทเพลงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพลงสรรเสริญพระบารมี ส่วนในการประกวดประเภทวงเป็นการบรรเลงเพลง หนานเชียนเป้ยเตี่ยว นอกจากนี้ยังมีประเภทเดี่ยวอีก 5 เครื่องดนตรี คือ กู่เจิง ผีผา ซอเอ้อหู หยางฉิน และตี่จือ ซึ่ง 2 ประเภทหลังคว้ารางวัลชนะเลิศด้วย

                            เจ้าของรางวัลชนะเลิศประเภทเดี่ยวตี่จือ ในเพลงมู่ตี๋ กิตติ แซ่ล้อ วัย 15 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนชลราษฎรบำรุง จ.ชลบุรี เล่าว่า เริ่มเล่นขลุ่ยมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ม.1 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เคยหัดเล่นเครื่องดนตรีสากลมาบ้าง แต่คิดว่าขลุ่ยเหมาะกับเราที่สุด ขลุ่ยเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสน่ห์ เล่นแล้วมีความสุข และตั้งใจจะฝึกไปเรื่อยๆ และสอนรุ่นน้องเพื่อสืบสานให้ดนตรีจีนคงอยู่ต่อไป

                            "ผมเพิ่งเคยมาประเทศจีนครั้งแรกครับ ก่อนหน้าที่จะเดินทางมาผมก็ทุ่มเทเวลาหลังเลิกเรียนซ้อมอย่างเต็มที่ เพราะผมได้รับคัดเลือกให้แข่งประเภทเดี่ยวด้วยครับ ซึ่งก็เป็นครั้งแรกของผมอีกเช่นกัน ผมไม่ได้หวังว่าจะได้รางวัลหรือไม่ เพียงแต่รู้สึกดีใจและภูมิใจมาก ที่มีโอกาสแสดงความสามารถให้ชาวจีนเห็นว่าคนไทยก็เล่นเครื่องดนตรีจีนได้ ทั้งยังทำได้ดีด้วย" กิตติ เผย

                            ด้าน "น้ำตาล" วชิราภรณ์ ชัยนาม วัย 10 ปี นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนเซนต์เมรี่ต์ บอกว่า เข้ามาอยู่วงนี้ด้วยการชักชวนของคุณยายซึ่งเป็นคณะกรรมการในมูลนิธิฯ ซึ่งตัวเองก็อยากเล่นผีผาอยู่แล้ว จึงชักชวนเพื่อนๆ อีก 3 คนมาสมัครเล่นด้วย เพราะมีความตั้งใจที่จะช่วยกันสืบสานวัฒนธรรมจีนให้คงอยู่ เช่นเดียวกับ "แคท" ธิดารัตน์ เศวตวงษ์ อายุ 13 ปี นักเรียนชั้น ป.1 จากโรงเรียนอุดรวิทยา ที่บอกว่า ตั้งใจฝึกซ้อมซอเอ้อหูอย่างเต็มที่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ ซึ่งส่วนตัวก็แอบหวังว่าจะได้รางวัล ซึ่งเมื่อได้จริงๆ ก็ภูมิใจและดีใจมาก ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ดนตรีจีนไม่ให้สูญหายไปจากประเทศไทย

                            ขณะที่ "ต่อ" เอกชัย อโนศรี วัย 17 ปี ชั้น ม.5 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร เล่าว่า อยากเล่นดนตรีจีนมาตั้งแต่เด็กๆ เคยเห็นแต่ในทีวี พอมีคนแนะนำจึงรีบมาสมัครร่วมวงทันที โดยเลือกเล่นขิมเพราะเสียงไพเราะ ฟังแล้วสบายหู อีกทั้งการเล่นดนตรียังทำให้รู้จักเพื่อนใหม่จากต่างโรงเรียน ที่สำคัญดนตรียังทำให้มีสมาธิ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในการเรียนได้ด้วย