ไลฟ์สไตล์

เชียงขวาง ทุ่งนาและไหหิน

เชียงขวาง ทุ่งนาและไหหิน

23 ก.ย. 2555

เชียงขวาง ทุ่งนาและไหหิน : คอลัมน์ท่องต่างแดน : โดย...เรื่อง/ภาพ นพพร วิจิตร์วงษ์

              บ่อยครั้งที่พูดถึงเมืองลาว มักรู้จักและคุ้นเคยกันดีกับเมืองหลวงพระบาง เมืองมรดกโลกในลาวเหนือ หรือไม่ก็หลี่ผี คอนพะเพ็ง และสารพัดตาด(น้ำตก)ใหญ่ ในลาวใต้ แต่จากคำชักชวนไปท่องเที่ยวเมืองลาวคราวนี้มีชื่อ ของเมืองโพนสะหวัน แขวงเชียงขวาง เข้ามาด้วย เลยตัดสินใจได้ไม่ยาก

             บวกกับความไม่เค้ย ไม่เคยไปคาราวานในต่างแดนซะที ก็เลยขอเกาะติด ขบวนคาราวาน ของอีซูซุ ซูเปอร์ คอมมอนเรล ที่มีรถร่วมขบวน 30-40 คัน ไปแขวงเชียงขวางกับเขาด้วยคน คราวนี้เข้าลาวหลายวันใช้หนังสือเดินทางดีที่สุด ถ้าเป็นบัตรผ่านแดน (Border pass) ก็ได้แค่ 3 วันต้องมาต่ออายุใหม่

             เส้นทางคาราวานในลาว จากหนองคาย-กำแพงนครฯ-เมืองโพนสะหวัน แขวงเชียงขวาง ไปลาวคราวนี้ฉันเลยเข้าใจมากขึ้นกับชื่อเมืองหลวงของลาว ที่เขาจะเรียกว่ากำแพงนครเวียงจันทน์ แต่ส่วนใหญ่จะเรียกกันย่อๆ ว่า กำแพงนคร ส่วนถ้าชื่อเวียงจันทน์เฉยๆ ก็จะเป็นอีกแขวงหรือจังหวัดที่อยู่ติดกัน เป็นเส้นทางขึ้นภาคเหนือที่จะผ่านไปวังเวียง เชียงขวาง หรือหลวงพระบาง  

              การเดินทางในช่วงฤดูฝนจะว่าสนุกก็สนุก จะว่าอันตรายก็มีแฝงอยู่บวกกับความตื่นเต้น เส้นทางจากหนองคาย เข้ากำแพงนครฯ ผ่านไปถึงวังเวียงก็ได้เวลากินข้าวเที่ยงในราวบ่ายโมงพอดี ก่อนจะออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองโพนสะหวัน ระยะทางอีกร่วมๆ 240 กม. แต่คาดว่าใช้เวลาไม่น่าจะต่ำกว่า 4-5 ชั่วโมง

             ถนนที่ออกจากกำแพงนครฯ เข้าสู่แขวงเวียงจันทน์ ถึงโพนสะหวัน มีดีเป็นช่วงๆ บางช่วงยังเป็นดินลูกรังอัดแน่น จากวังเวียงไปโพนสะหวัน ทางเริ่มขึ้นเขา "ภูพญา" ซึ่งเป็นเขาสูงขวางกั้นเป็นด่านแรก เป้าหมายของคารางวานอยู่ที่ "จุดชมวิวภูเพียงฟ้า" ซึ่งเป็นทั้งร้านอาหาร ที่พักริมทาง และเป็นจุดที่จะเห็นวิวเมืองเบื้องล่างสวยงามถ้าฝนไม่ตก ฟ้าเปิด

              แต่ก่อนจะไปถึง ก็ได้ข่าวร้ายแจ้งผ่านมาว่า เกิดดินถล่มในเส้นทาง จังหวะดีที่เราแวะอยู่พื้นราบที่เมืองกาสี ของแขวงเวียงจันทน์ เลยได้นั่งเล่น เดินเล่นจนเพลียใจ พร้อมกับเติมเสบียงใส่กระเพาะ ว่ากันว่า หากเกิดดินถล่มปิดเส้นทาง บางทีอาจต้องรอกันเป็นวันๆ เลยต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน แต่คราวนี้โชคดีที่ติดอยู่ราวๆ 3 ชั่วโมง ถึงออกเดินทางกันได้อีกครั้ง ด้วยทีมช่างของอีซูซุที่ส่งไปช่วยทหารลาวเคลียร์เส้นทางนั่นเอง

             ระหว่างทางก่อนถึงจุดดินถล่ม "ปูเป้" ไกด์สาวชาวลาว ชี้ให้ดู "ผาตั้ง" สัญลักษณ์ของเมืองวังเวียง ที่ดูเหมือนโดดเด่นอยู่กลางน้ำ และเป็นที่มาของชื่อ "แม่น้ำซอง" (หรือแม่น้ำศพ) อีกด้วย เลยไปไม่ไกล ก่อนเลาะขึ้นเขาอีกรอบ ผาเขาสองลูก ตั้งตระหง่านคู่กัน ปูเป้บอกว่า ชื่อ "เขานมสาว" แถมข้างๆ กัน ยังมี "เขาปากอ้า" ส่วนจุดที่เกิดดินถล่ม เป็นไหล่เขาสูงขึ้น ด้านหลังติดเขา ด้านหนึ่งติดเหว มองเห็นภูเพียงฟ้าอยู่ลิบๆ 

             4 ทุ่มกว่า ถึงเมืองโพนสะหวัน แขวงเชียงขวาง เข้าพักโรงแรม ก็แทบสลบไสลกับการนั่งรถทางไกล แถมจากจุดดินถล่มยังเป็นเส้นทางขึ้นเขาคดเคี้ยว มีหลายจุดที่เป็นโค้งหักศอก และมีดินไหลลงจากเขาบ้าง ยิ่งต้องระวังกันเป็นพิเศษ ฉะนั้นใครไปช่วงหน้าฝน ยิ่งถ้าเป็นรถประจำทางก็เผื่อเวลากันไว้เยอะๆ เป็นวันๆ จะดีที่สุด

            รุ่งเช้า ตื่นมานั่งซึบซับบรรยากาศของท้องทุ่งนา ที่เห็นลึกลงไปในหุบเขา กว้างไกล บางมุมฉันก็นึกไปถึงแนวทุ่งนาแถวๆ บ่อเกลือ หรือต้นต้นของสายน้ำว้า จ.น่าน หากแต่เรื่องราวของประวัติศาสตร์ก็ผุดพรายขึ้นมาในความคิด "เชียงขวาง" และเมืองโพนสะหวัน

             เมื่ออดีตที่ผ่านมา ช่วงปี 2515-2516 สถานที่แห่งนี้ เป็นสมรภูมิที่ดุเดือดที่สุดแห่งหนึ่ง ภายใต้การนำของกองทัพนายพลวังเปา ที่มีอเมริกาสนับสนุน กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ลาว เพราะเชียงขวางอยู่ใกล้กับฐานที่มั่นปฏิวัติของฝ่ายคอมมิวนิสต์ลาวมากที่สุด ซึ่งสหรัฐเชื่อว่า หากสามารถยึดครองเขตที่ราบสูงได้ ก็จะกุมสภาพการศึกได้ทั้งหมด 

            ปัจจุบัน ยังมีเศษซากของความเจ็บปวด ถูกทิ้งอยู่ที่ทุ่งไหหิน ที่เชื่อว่าเป็นจุดที่ถูกทิ้งระเบิดมากที่สุด และยังมีระเบิดหลงเหลือ รอการเก็บกู้อยู่อีกจำนวนมาก แต่ที่นี่ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว จนทำให้มีเงินสะพัดที่นี่ ติดอันดับต้นๆ ของลาวทีเดียว

             ทุ่งไหหิน ที่พบมีอยู่ 3 แห่ง ทุ่ง 1 อยู่ห่างจากเมืองโพนสะหวันราว 7.5 กม. ทุ่ง 2 ภูสลาโต ห่างจากทางใต้ของเมืองโพนสะหวัน 25 กม. มีไหหินกระจายอยู่ในพื้นที่เนินเขาสองลูก ราว 94 ใบ และถัดไปอีก 10 กม.จะเป็นทุ่ง 3 ที่มีไหหินประมาณ 150 ใบกระจายอยู่บนเนินเขา

             เราเลือกเดินทางไปทุ่ง 1 ที่ได้ชื่อว่าเป็นทุ่งใหญ่ที่สุด มีไหหินกระจายอยู่ 200 ใบ จะเข้าชมทุ่งไหหิน เสียค่าเข้าคนละ 1 หมื่นกีบ พร้อมกับข้อห้ามนักท่องเที่ยวออกนอกเส้นทาง เพราะยังมีระเบิดที่ไม่ได้เก็บกู้

              ไหหินที่เรียงรายอยู่ในทุ่งเหล่านี้ ยังเป็นปริศนาว่าแท้จริงคืออะไรกันแน่ ระหว่างที่บรรจุคนตายในสมัยก่อน เพราะมีการพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ อีกทั้งไหหินเหล่านี้มีอายุ 3,000-5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อีกเรื่องเล่าก็สันนิษฐานว่า จะเป็นไหเหล้า "ขุนเจือง" นักรบผู้กล้าของลาวที่ยกพลไปทำสงคราม เมื่อรบชนะ ก็สั่งทหารสร้างไหหมักเหล้า มาเลี้ยงฉลองกัน นานถึง 7 เดือน

              ระหว่างเดินชม ก็ยังนึกภาพไม่ออกว่า ถ้านักรบดื่มเหล้ากันหมดทุกไหที่เห็นเรียงรายในทุ่งนี่ 7 เดือนจะเมาแอ๋ไปอีกกี่เพลากัน เพราะแต่ละไห ใบใหญ่ๆ ทั้งนั้น เล็กสุด ก็ยังมีน้ำหนัก 40-50 กก. ส่วนใบที่มีน้ำหนักมากที่สุด หนักถึง 15 ตัน แถมสูงกว่ามนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเรามากนัก   

              ที่ทุ่ง 1 ด้านล่างยังมีถ้ำขนาดใหญ่จุคนได้ 50-60 คน ภายในถ้ำมีปล่องด้านบน ไม่ลึกนัก เมื่อก่อนเคยเป็นที่หลบภัยสงคราม ตอนที่เครื่องบินบี-52 ของอเมริกามาทิ้งระเบิด พร้อมกับใช้เป็นคลังแสงเมื่อสมัยสงครามอินโดจีนด้วย ในบริเวณยังมีร่องรอยการขุดสนามเพาะสำหรับป้องกันการโจมตีทางอากาศ และมีหลุดระเบิดขนาดใหญ่หลายหลุม ไหหินที่แตกบางลูก ก็ถูกระบุว่าเป็นฝีมือของระเบิดร้ายแรงที่ถูกทิ้งมาทางอากาศด้วยเช่นกัน

              วันนี้ หลายเมืองของเชียงขวาง กลับมามีสีสันเขียวขจี ทั้งพื้นที่นาในพื้นราบ และนาขั้นบันไดตามไหล่เขา ผู้คนอยู่กันอย่างสงบสุข แต่บาดแผลที่ฝังลึกในอดีต ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะลืมเลือน โดยเฉพาะเมื่ออดีตยังตามมาถึงปัจจุบัน ณ ทุ่งไหหินแห่งนี้ 

.................................
(เชียงขวาง ทุ่งนาและไหหิน : คอลัมน์ท่องต่างแดน : โดย...เรื่อง/ภาพ นพพร วิจิตร์วงษ์)