
"นอนกรน" ภัยยามค่ำคืน อันตรายถึงชีวิต
การนอนกรนอาจไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไป เพราะปัญหาเรื่องการนอนกรนนอกจากจะสร้างความรำคาญต่อคนนอนข้างๆ แล้ว ยังส่งผลโดยตรงต่อระบบหายใจและอาจทำให้คุณเกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ จนกระทั่งส่งผลเสียต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้อย่างเรื้อรัง
รศ.นพ.ประกอบเกียรติ หิรัญวิวัฒน์กุล จากภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การนอนกรน แบ่งได้ 2 ชนิด คือ การนอนกรนชนิดไม่อันตราย (Simple snoring) และการนอนกรนชนิดอันตราย (Obstructive sleep apnea หรือ OSA)
- นอนกรนชนิดไม่อันตราย มักจะมีอาการนอนกรนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสียงกรนอาจดังหรือค่อยขึ้นอยู่กับว่าเกิดจากบริเวณใด ดังนั้น ความดังของเสียงกรนจึงไม่ได้บอกว่าอันตรายหรือไม่ แต่ถ้ามีอาการหายใจสะดุด หยุดหายใจเหมือนคนหายใจไม่ออก หรือสำลัก อันนี้ถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย
- โรคนอนกรนชนิดอันตราย นอกจากจะนอนกรนเสียงดัง มีอาการคล้ายสำลักหรือสะดุ้งตื่นกลางดึก ต้องลุกไปถ่ายปัสสาวะตอนกลางดึกแล้ว สมองจะรู้สึกตื้อ คิดอะไรไม่ออกเพราะง่วงนอน ขี้ลืม ไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงาน ตื่นขึ้นมาด้วยอาการอ่อนล้า ไม่สดชื่น หรือปวดศีรษะ
คนที่เป็นโรคนอนกรนชนิดอันตราย เมื่อยังหลับไม่สนิทอาจจะเป็นเพียงกรนปกติ แต่เมื่อหลับสนิทจะเกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ มีลักษณะของการกลั้นหายใจ ตามด้วยการสะดุ้งหรือสำลักน้ำลาย หรือหายใจอย่างแรงเหมือนขาดอากาศ อาจเกิดขึ้นหลายสิบหรือหลายร้อยครั้งต่อคืน
ขณะที่มีการหยุดหายใจ ออกซิเจนในเลือดแดงจะลดต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจ หลอดเลือด ปอด และสมอง ต่อมาเมื่อออกซิเจนในเลือดแดงลดต่ำลงมากจนถึงจุดอันตราย ร่วมกับมีการหายใจที่แรงมาก จนต้องใช้กล้ามเนื้อช่วยในการหายใจเพื่อพยายามให้ลมหายใจสามารถผ่านตำแหน่งที่ตีบตันไปให้ได้ ภาวะนี้จะกระตุ้นให้สมองที่กำลังหลับสนิทอยู่ต้องตื่นขึ้นมา ทางเดินหายใจจะถูกเปิดขึ้น และทำให้ออกซิเจนสามารถผ่านเข้าไปในปอดได้อีก ตอนนี้เองออกซิเจนในเลือดแดงจะกลับมาสูงขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน สมองจะเริ่มหลับอีก การหายใจก็จะเริ่มขัดข้องอีกครั้ง วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ไปตลอดคืน ทุกคืน ส่งผลให้สมรรถภาพการนอนหลับเสียไป เนื่องจากมีช่วงเวลาของการนอนหลับสนิทน้อยเกินไป ผลเสียต่ออวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจ ระบบไหลเวียนเลือด สมอง และปอด จนทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม
1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อาทิ ลดความอ้วน เพราะจากการสำรวจพบว่า เมื่อน้ำหนักลดลง 10% อัตราการหยุดหายใจก็จะลดลงด้วย
2. หลีกเลี่ยงการนอนหงาย โดยให้นอนท่าตะแคง เพราะจะช่วยให้หลับดีขึ้น เนื่องจากการนอนหงายจะทำให้ลิ้นตกไปด้านหลังชิดกับผนังช่องคอด้านหลัง ทำให้เกิดการอุดตันได้มาก ส่วนการนอนตะแคงจะทำให้ลิ้นไม่ตกไปที่คอด้านหลังมากเกินไป และสามารถช่วยลดอาการกรนได้บ้าง
3. อุปกรณ์ทางทันตกรรม กรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคกรนชนิดอันตรายไม่รุนแรง ซึ่งมีลักษณะเป็นที่ครอบฟันบนและล่าง ทำหน้าที่ยึดขากรรไกรอันล่างให้เลื่อนไปด้านหน้า อุปกรณ์ชนิดนี้จะช่วยให้การหายใจดีขึ้น และมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด
4. การใช้เครื่องช่วยหายใจ (CPAP) จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการนอนกรนชนิดรุนแรงมาก เครื่องชนิดนี้จะปล่อยแรงดันบวกและทำให้ช่องทางเดินหายใจกว้างขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยหลับสบาย
5. การรักษาโดยการผ่าตัด จะช่วยแก้ไขปัญหาทางเดินหายใจที่อุดตันขณะหลับ ซึ่งก่อนนอนหลับ ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจการนอนหลับ เพื่อยืนยันว่าเป็นอันตรายมากน้อยแค่ไหน ซึ่งการผ่าตัดก็จะแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความผิดปกติของผู้ป่วย
ปัญหาการนอนกรน หากรู้จักแก้ไขปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดภาวะทางเดินหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยก็จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องการหายใจที่ติดขัดขณะนอนหลับ ส่วนคนรอบข้างก็จะลดความน่ารำคาญของเสียงกรนไปได้
คลินิกนอนกรน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์