ไลฟ์สไตล์

ต้นฝนที่ป่งป๊ง-ทุ่งดินขาว

ต้นฝนที่ป่งป๊ง-ทุ่งดินขาว

01 ก.ค. 2555

ต้นฝน ที่ป่งป๊ง-ทุ่งดินขาว : คอลัมน์ชวนเที่ยว : เรื่อง/ภาพ โดย นพพร วิจิตร์วงษ์ http://www.oknation.net/blog/vickie

            ได้ฤกษ์ เบิกฟ้าหน้าฝน บรรดาขาเที่ยวอยู่ไม่เป็นสุข ต้องหาป่าฉ่ำน้ำเดินเล่นกัน คราวนี้ไปกันไม่ไกล แค่ชายแดนตะวันตก ด้าน จ.กาญจนบุรี...น้ำตกป่งป๊ง และทุ่งดินขาว ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของยอดเขาเขียว แต่รถเข้าไม่ถึง ต้องอาศัยเดินเท้าเข้าไปนอนในป่า 2 คืน
 
          "น้ำตกป่งป๊ง" น้ำตกภาษากะเหรี่ยง ที่ก่อเกิดลำห้วยป่งป๊ง เซาะซอกเขาลงมาบรรจบกับแม่น้ำรันตี หล่อเลี้ยงชาวพื้นราบ จากหมู่บ้านกองม่องทะ ไปออกถึงสังขละบุรีนู่น
 
          พวกเราออกจาก กทม.กลางดึก แวะซื้อเสบียงก่อนจะเข้าไปที่หมู่บ้านกองม่องทะ หมู่บ้านกะเหรี่ยงเล็กๆ ชายขอบทุ่งใหญ่นเรศวร ที่ ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เดี๋ยวนี้เข้าไปลาดยางสบายหน่อย ไปถึงก็จัดแจงแบ่งสัมภาระ หาลูกหาบ คนนำทาง ซึ่งก็ได้พี่หมี คนคุ้นเคยนำทางให้ พร้อมลูกหาบอีก 2 คน คือ หลุย กับเส่ง ที่ทำให้นึกไปถึงพรานเส่งในเพชรพระอุมา ทุกทีที่เรียกชื่อ
 
          เช่ารถโฟร์วีลส์เข้าไปส่งท้ายหมู่บ้าน ซึ่งแน่นอนระยะทางราว 9 กม. แต่ใช้เวลานั่งเกือบชั่วโมง เพราะเป็นทางวิบากโดยแท้ ผ่านไปท้ายหมู่บ้าน แล้วยังเลาะผ่านไร่ส้มโอ ข้ามน้ำเชี่ยวๆ กว้างๆ ไปอีกฝั่ง ผ่านไร่มะนาว ป่าไผ่ ไปจนสิ้นสุดที่กระต๊อบจวนพัง พี่คนขับบอกว่า พวกที่มาจับปลาก็นอนที่นี่กันแหละ
 
          ขึ้นเป้ก็จวนเจียนจะเที่ยงวัน ผ่านทุ่งหญ้า ฝ่าแดดไประยะหนึ่ง ถึงขอนไม้แรกที่ต้องข้ามน้ำ แม้จะหวาดเสียวแต่ก็ผ่านกันไปด้วยดี ทะลุป่าไผ่ ที่ยามหน้าแล้งก็มีมักจะเกิดไฟป่า แต่พอหน้าฝนก็แทงหน่อให้เป็นอาหารเมนูเหลาได้ เดินอีกไม่ไกลก็ถึงชายน้ำรันตีช่วงบน เวิ้งน้ำสวยงาม เลยแวะพักยาวๆ กินข้าวเที่ยงกันตรงนี้แหละ
 
          หนทางใช่ว่าสบาย เดินจากที่พักริมน้ำไปไม่ไกล ก็ถึงจุดต้องข้ามน้ำ น้ำใสแจ๋ว แต่ความเชี่ยวกรากทำให้ช่วงกลางๆ แทบจะมองไม่เห็นหินใต้น้ำว่าก้อนไหนจะอยู่ลึก ตรงไหนจะตื้น หินก้อนไหนจะลื่น ต้องเสี่ยงดวงด้วยเท้าที่ก้าวเหยียบไป ถ้าน้ำเยอะ ก็เอาเรือเข้าไปส่งได้ลึกกว่านี้อีกหน่อย แต่ก็ข้ามน้ำลำบาก เพราะน้ำลึก แล้วก็เชี่ยว จนบางทริปที่เคยจัดไปต้องเปลี่ยนแผนเดินทางกันมาแล้วก็มี
 
          ข้ามฝั่งไปได้ก็ยังต้องเดินไปตามดินปนทรายร่วนๆ ก่อนจะตัดขึ้นเนินเขาเตี้ยๆ เดินข้ามไปเจอธารน้ำอีกฝั่ง ทั้งที่ตัวเพิ่งจะเริ่มแห้ง เอาเป็นว่าเลาะหาทางที่น้ำไม่ลึก ไม่เชี่ยวนัก ค่อยข้ามไป
 
          "นี่ถ้าช่วงหน้าน้ำ น้ำจะขึ้นไปถึงนู่น" พี่หมีบอกพร้อมกับชี้ให้ดูคราบน้ำ ตามก้อนหิน และต้นไม้ที่อยู่เหนือหัวขึ้นไป โห...มิน่า ถ้าฤดูน้ำหลาก ที่นี่คงเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
 
          ข้ามน้ำมาไปอีกฝั่ง สภาพป่าเริ่มเปลี่ยนไป หลังจากที่ไต่ขึ้นเนินเล็กหน่อย เดินทะลุเข้าใต้ร่มไม้ อืมม...เป็นเหมือนป่าพื้นราบ ไม้ยืนต้นขึ้นให้ร่มเงา จนรู้สึกเดินสบาย เดินทำระยะได้เยอะ
 
          "เมื่อก่อนแถวนี้เคยมีคนทำนาข้าว แต่เดี๋ยวนี้เลิกไปแล้ว ออกไปอยู่ข้างนอกกันหมด" พี่หมีเล่าให้ฟัง บริเวณนี้เลยกลับสภาพมาเป็นป่าอีกครั้ง จะว่าไป พื้นที่แถวนี้ก็อยู่ในเขตป่าของทุ่งใหญ่นเรศวรแล้ว เพียงแต่ผ่อนผันให้ชาวกะเหรี่ยง ที่ตั้งรกรากอยู่ที่นี่มาแต่ไหนแต่ไร สามารถยังชีพอยู่ได้"
 
          ผ่านแนวป่าราบก็ทะลุออกมาเจอลานโล่ง มองเห็นยอดเขาเขียว เป้าหมายในฝันอยู่ไม่ไกลนัก หากแต่ยอดเขาสูงทะลุเมฆน่ะซิ เดินขึ้นน่าจะสาหัสเอาการ ก็ยอดเขานี้ที่เพื่อนเคยไปมาบอกว่าติดอันดับต้นๆ ยอดเขาสูงของเมืองไทยทีเดียว จากการจับด้วย GPS
 
          การเดินข้ามน้ำของเรายังไม่จบง่ายๆ จากข้ามรันตี ต้องมาข้ามห้วยป่งป๊ง ไม่ทันไร...ละอองฝนก็โปรยลงมาบางๆ แต่พวกเราก็ยังเดินหน้ากันต่อ
 
          ขึ้นเนินชัน เดินลงหุบ เดินไป คุยไป ไม่กี่หอบ (แฮ่ก) ก็ถึงที่หมายริมน้ำ เป็นลานราบทำเลสวย เดินไปน้ำตกไม่ไกลมาก แถมมีอ่างจากุชชี่จากธรรมชาติให้แช่เล่น เลือกทำเลผูกเปลเสร็จก็ไปนอนแช่น้ำเล่นทันที ปล่อยให้น้ำไหลนวดหลัง ลืมความเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า หน้าที่การงาน โลกภายนอก หยุดชะงักไปชั่วขณะ ระหว่างที่ได้นอนทอดอารมณ์อยู่กลางสายน้ำ
 
          พักใหญ่ ใกล้ค่ำ ถึงได้ขึ้นมาช่วยเตรียมมื้อเย็น แล้วยังลองต้มน้ำกระเจี๊ยบที่แวะเก็บจากไร่ร้างที่เดินผ่านมาด้วย ถึงจะแคระแกร็น แต่ต้มให้รสชาติได้ไม่เลว..กินข้าวไปเฮฮากันไป กับเรื่องราวที่หยิบมาเป็นหัวข้อสนทนา รวมถึงแผนเดินทางพรุ่งนี้ ก่อนจะแยกย้ายกันไปลงเปล 
 
          เช้ารุ่งขึ้นฉันถูกปลุกด้วยกลิ่นกาแฟที่โชยมาจากกองไฟ จิบกาแฟเสร็จก็เปลี่ยนเสื้อผ้า คว้ากล้องเดินเข้าน้ำตกกัน
 
          เดินตามน้ำขึ้นไปเรื่อยๆ มีระยะสั่นหัวใจเล็กน้อยก็ตอนเดินข้ามขอนไม้ใหญ่ ที่ทอดตัวเหนือน้ำนิ่งๆ ดูลึกลับ รู้แต่ว่าไม่อยากตกลงไปในน้ำเอาซะเลย ผ่านไปไม่ไกล ก็เห็นน้ำตกป่งป๊ง น้ำตกที่ไม่ใหญ่มากมาย แต่ก็ไม่เล็กนัก ปรากฏอยู่ในสายตา กับแอ่งน้ำกว้างๆ ที่ดูลึกอยู่ด้านหน้า
 
          เล่นน้ำ โดดน้ำ ถ่ายรูปกันสนุกสนาน จนสาย ท้องเริ่มร้องหิวข้าวถึงกลับแคมป์กันได้
 
          จัดการมื้อเช้า เก็บข้าวของ ไม่นานนักทุกอย่างก็เรียบร้อย 10 โมงครึ่ง ตามที่กำหนดเป๊ะ
 
          "ทุ่งดินขาว" บนยอดเขาสูงในแนวเขาเขียว เป้าหมายวันนี้ เส้นทางยังต้องเดินตามธารน้ำ สลับขึ้นฝั่ง ตัดร่องน้ำนี้ไปโผล่ร่องน้ำนู้น ราว 1 ชั่วโมง ก็ถึงจุดที่เดินตัดขึ้นเขา...จากเชิงเขาที่เราต้องไต่ ไล่สายตาขึ้นไปเรื่อยๆ อืม...ทำไมช่างสูง สูง สูง ไม่เห็นยอดหรือสันเขาเลย หรือเพราะเราอยู่ใกล้กันเกินไป เลยมองเห็นกันไม่ถนัด
 
          ระยะแรกแรงดี เดินต้านแรงโน้มถ่วงของโลกขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มหยุดพักถี่ขึ้น ก่อนจะเดินทะลุป่าไผ่ เลาะขอบขวาของเขา ไต่ไปเรื่อยๆ จนถึงรอยต่อขึ้นอีกเนิน ที่ระดับความสูง 700 เมตรกว่าๆ หยุดพักกินข้าวเที่ยงในป่าไผ่นี่แหล่ะ ก่อนจะไต่ระดับกันต่อ
 
          แตะ 900 ม.รทก.แล้ว แต่หัวหน้าทริปบอกว่า ที่พักน่าจะอยู่ประมาณ 1,000 เมตรกว่าๆ แต่จุดสูงสุดของทุ่งดินขาวจะอยู่ที่ประมาณ 1,300 เมตร อืม..อีกไม่เท่าไหร่แล้วซิ แต่ระยะที่เดินนั้นทำเอาหยุดกันไปหลายหอบ ก่อนจะขึ้นถึงสันเขา ที่เห็นวิวโล่งๆ
 
          ท่าทางแต่ละคนเริ่มอ่อนล้า แม้จะได้ยินหัวหน้าทริปบอกว่า เรามาถึงทุ่งดินขาวแล้ว แต่...แต่ต้องเดินไปอีกไกลเท่าไหร่ไม่รู้ เพื่อไปตั้งแคมป์ไม่ไกลแหล่งน้ำ เดินจนถึงพื้นราบ เป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ นั่นล่ะถึงได้หยุดรอให้คนนำทางลงไปหาแหล่งน้ำ แล้วก็ได้รับคำตอบ "คืนนี้ เราจะพักกันที่นี่" เย้ๆ แต่แหล่งน้ำที่พบ ใช่ว่าอยู่ใกล้ๆ ต้องเดินลงไปในหุบเขาชันๆ ราวๆ 100 กว่าเมตรนู่น ประมาณลงไปอาบน้ำ กลับขึ้นมาก็เหงื่อโชกกันล่ะ
 
          แคมป์คืนนี้ ลานกว้างๆ มีร่องรอยหมูป่าทั่วไป ไม้เว้นกระทั่งรอยถูสีข้างที่ต้นไม้ ตรงที่ฉันผูกเปลนอน "คืนนี้อย่าเจอกันก็แล้วกันนะ" ฉันได้แต่คิดในใจ
 
          เช้านี้ตื่นขึ้นมา พร้อมกับเสียงนก เสียงผู้คน เพื่อนๆ ตื่นมาต้มน้ำชงกาแฟกันแล้ว ไล่เช็กอาหาร เช้านี้จะทำลายเสบียงกัน
 
          แสงสายสาย เริ่มสาดส่อง
ทาบทาทอง ท้องทุ่งหญ้า
ส่งสะท้อน สู่ท้องฟ้า
ทาทาบทา ทุ่งดินทอง
 
          ราว 9 โมงกว่า เราเริ่มออกเดินกันอีกที จะยิงยาวไปกินข้าวเที่ยงกันในหมู่บ้าน จากยอดเขา ตัดลงอีกด้านหนึ่ง สู่แม่น้ำรันตีที่ใกล้กว่า ออกสู่กองม่องทะ ตรงจุดนัดหมายที่รถเข้ามาส่ง โดยไม่มีการเดินย้อนกลับ เราเดินตามกันไป ด้วยว่าเส้นทางไม่ค่อยชัดนัก ถึงจะมีแผนที่และจีพีเอส ก็ยังอ้อมไปอีกสันเขาจนได้ แต่...ไม่เป็นไร แค่ยูเทิร์นพอขำขำ
 
          ทางลงดิ่งชัน ไม่แพ้ขาขึ้น แต่ใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งก็ถึงชายน้ำลำห้วยรันตี แล้วเดินทางราบขนานกันไปอีกราว 2 กม. ก่อนจะตัดข้ามออกไปโผล่ชายป่า ป่าตะวันตกยามนี้ มีน้ำมีนวลขึ้นเยอะจากความชะอุ่มของป่า จนเราหมายมั่นจะไปอีก เมื่อความพร้อมลงตัวกับเป้าหมายที่เล็งไว้...ยอดเขาเขียว

.......................................
(หมายเหตุ : ต้นฝน ที่ป่งป๊ง-ทุ่งดินขาว : คอลัมน์ชวนเที่ยว : เรื่อง/ภาพ โดย นพพร วิจิตร์วงษ์ http://www.oknation.net/blog/vickie)