
'อัลมาตี้'เมืองน่าอยู่ผู้คนหลากหลาย
'อัลมาตี้'เมืองน่าอยู่ผู้คนหลากหลาย : คอลัมน์เที่ยวนี้ขอเล่า : โดย...กาญจนา หงษ์ทอง
ป้วนเปี้ยนอยู่ในเอเชียกลางกันแบบติดพัน จากอุซเบกิสถานแทนที่จะพุ่งกลับขวานทอง แต่ขอแวะเก็บตก คาซัคสถาน อีกซักประเทศ ไหนๆ ก็เถลไถลมาแถวนี้แล้วจะปล่อยผ่านประเทศคาซัคสถานไม่ได้จริงๆ เพราะเป็นประเทศที่น่าสนใจในหลายแง่มุม ทั้งประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และวัฒนธรรมของผู้คน
แทนที่จะใช้เมืองหลวงอย่างอัสตานาเป็นจุดออกตัวเที่ยว แต่นักท่องเที่ยวเกือบร้อยทั้งร้อยส่วนใหญ่หย่อนตัวลงที่ อัลมาตี้ เมืองที่ถึงไม่ได้เป็นเมืองหลวง แต่จัดว่าเป็นฮับของอุตสาหกรรมการบิน แถมยังเป็นเมืองน่าเที่ยวของประเทศนี้อีกด้วย
ปกติจากกรุงเทพฯ ไปคาซัคสถาน มีสายการบินแอร์อัสตานา (0-2634-2552-3) บินตรงแบบม้วนเดียวจบ 7 ชั่วโมงกว่ามาถึงเมืองอัลมาตี้เลย เรื่องบริการและความสะดวกสบายบนเครื่องก็ต้องบอกว่าได้มาตรฐานหายห่วง คนไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นกับสายการบินแอร์อัสตานาเท่าไหร่ แต่ที่จริงแล้วเขามีเที่ยวบินเชื่อมกับยุโรปและเอเชียหลายเส้นทางเหมือนกัน
ส่วนเรื่องที่หลับที่นอน บอกไว้ตรงนี้เลยว่า คาซัคสถานติดอันดับประเทศที่ค่าครองชีพสูงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก โดยเฉพาะที่เมืองอัลมาตี้ จะหาโรงแรมราคาถูกๆ นี่ยากมาก ราคาที่พักนอนที่อัลมาตี้คืนเดียว เท่ากับนอนโรงแรมที่อุซเบกิสถานได้ 3 คืน เลยต้องพึ่งพาเว็บไซต์อโกดา(www.agoda.com) ให้ช่วยสแกนหาที่พักราคาแบบที่พอรับได้แต่ทำเลก็ต้องพอไหวด้วย คลิกหาอยู่ไม่นาน ก็ได้ที่พักแบบที่เล็งเอาไว้
รู้แต่ว่าแพง แต่ไม่ยักรู้ว่าประเทศมุสลิมอย่างคาซัคสถานจะมีโบสถ์รูปโดมทรงหัวหอมตั้งกระจายอยู่ทั่วเมือง แต่ถ้าคัดโบสถ์ที่อยู่ในหมวดจำเป็นต้องไป คงจะมีโบสถ์เซนคอฟที่อยู่ใจกลางเมืองและโบสถ์เซนต์นิโคลัสที่อยู่ชานเมือง
โบสถ์สีเหลืองสดและสีฟ้านวลตาทั้ง 2 แห่งนี้เป็นโบสถ์คริสต์นิกายออร์โธดอกซ์อายุเกินร้อยปีที่สวยข่มหลายโบสถ์ในรัสเซียได้สบายๆ และเป็นเพราะโบสถ์ 2 แห่งนี้นี่เอง ที่เติมให้อัลมาตี้มีกลิ่นของรัสเซียลอยอ้อยอิ่งอยู่ทุกหัวมุมถนน
เท่านั้นยังไม่พอ อัลมาตี้ยังมี ถนนอารบัท ที่เป็นเหมือนย่านสยามของบ้านเรา วัยรุ่น นักช้อปและนักเดินทางเดินกันให้ว่อนไปหมด ห้างหรูและช็อปของพวกแบรนด์ดังตั้งเรียงรายประดับถนน
เห็นแล้วก็ได้แต่คิดว่าสมแล้วที่อัลมาตี้ติดอันดับเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุด 50 อันดับแรกของโลก ที่จริงเคยติดอันดับ 30 ด้วย พักหลังค่อยๆ ถูกลง เรียกว่าค่าครองชีพแพงกว่าเมืองใหญ่ๆ อย่างโตรอนโตในแคนาดา ลอสแองเจลิสในอเมริกา และฮัมบรูกในเยอรมันซะอีก
จะเรียกคาซัคสถานว่าเศรษฐีใหม่ก็ได้ เพราะสมัยที่สหภาพโซเวียตปกครองอยู่ที่นี่ยังจนอยู่ แต่พอเป็นอิสรภาพคาซัคสถานมาขุดเจอน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในทะเลสาบแคส เปียน ทำให้กลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยติดอันดับโลกขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
คาเฟ่ ร้านอาหารและแบรนด์เนมเป็นแค่ของประดับถนน แต่ที่ทำให้อารบัทกลายเป็นถนนคนเดินที่น่าเดินมากขึ้นก็น่าจะเป็นพวกภาพเขียนที่ศิลปินชาวคาซัคหอบมายึดพื้นที่กลางถนน ตั้งดักลูกค้าตั้งแต่กลางวันไปยันหัวค่ำ บอกได้เลยว่าฝีมือเนี๊ยบมาก ไม่น่าเชื่อว่าผู้คนชาวคาซัคที่อยู่หลังม่านเหล็กมาซะนาน จะมีจินตนาการและฝีมือที่เยี่ยมยุทธ์ขนาดนี้
ขืนตั้งเป้าหิ้วภาพเขียนสีน้ำมันกลับบ้าน มีหวังว่าไม่ได้เห็นอัลมาตี้ในมุมอื่นแน่ เพราะมีให้เลือกชนิดมืดฟ้ามัวดิน จนน่าจะเปลี่ยนชื่อจากถนนอารบัทมาเป็นถนนอาร์ทสะบัดมากกว่า
ในระยะเดินซักหอบสองหอบจากถนนอารบัท จัตุรัสเก่า หรือ จัตุรัสอัสตานา รอฉันอยู่ที่นั่น ท่ามกลางสีเขียวครึ้มที่คลุมจัตุรัสแห่งนี้ มีรูปปั้นวีรสตรีของชาวคาซัคตั้งตระหง่านอยู่ ตรงข้ามจัตุรัสมีมหาวิทยาลัยประจำเมืองตั้งอยู่อย่างโอ่อ่าสมกับที่เคยเป็นอาคารรัฐสภาในยุคที่อัลมาตี้ยังเป็นเมืองหลวงเก่า นอกเหนือจากตัวอาคารที่ใหญ่โตก็ไม่มีอะไรที่โดดเด่นนัก แต่เขาว่าน่าสนใจตรงที่ใต้ถุนตึก มีเสบียงและข้าวของจำเป็นสำหรับรับมือกับสงครามหรือภัยต่างๆ ได้สบายๆ อันนี้ไม่รู้จริงเท็จเป็นยังไง
อาคารสำคัญหลายแห่งตั้งอยู่แถวจัตุรัสเก่า เพราะในช่วงที่อัลมาตี้ยังเป็นเมืองหลวง ละแวกนี้คือจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการปกครอง แต่พอย้ายเมืองหลวงไปอยู่อัสตานา อัลมาตี้ก็สร้างจัตุรัสใหม่เพื่อเฉลิมฉลองอิสรภาพที่ได้คืนจากรัสเซีย
แต่จะจัตุรัสเก่าหรือใหม่ ก็ไม่น่าดูเท่าตลาด ไอ้เรามันสิงห์ตลาดอยู่แล้ว ขอให้รู้เถอะว่าตลาดตั้งอยู่มุมไหนของเมือง จะพุ่งไปหาในบัดดล ที่อัลมาตี้ก็เหมือนกัน เขามี กรีนบาซาร์ ตลาดที่คึกคักมีชีวิตชีวาที่เปิดทุกวันตั้งแต่เช้าไปจรดค่ำ ยกเว้นวันจันทร์
โปรดเคลียร์ท้องของท่านให้ว่างก่อนเดินเข้าตลาดนี้ เพราะเราจะถูกรบเร้าจากพวกพ่อค้าให้ชิมผลไม้แห้งจนพุงกางกันไปข้าง ชิมแล้วจะซื้อหรือไม่ซื้อเขาก็ไม่ขัดข้องหรือด่าไล่หลัง ขอแค่ลั่นชัตเตอร์เก็บภาพเขาไปเป็นที่ระลึก เท่านี้ก็ยิ้มไม่หุบแล้วเดินไปคุยฟุ้งลั่นตลาด นี่แหละเสน่ห์ของตลาดแบบเอเชียขนานแท้
เดินอยู่ในตลาดแล้วจะพบความจริงบางประการว่าอัลมาตี้ช่างเป็นเมืองที่มีผู้คนหลากหลายชาติ เฉพาะพ่อค้าขายผลไม้แห้งยังมีทั้งจากทาจิกกิสถานและคีร์กิสถาน แม่ค้าร้านโชห่วยในตลาดข้ามพรมแดนมาจากจีน เด็กหนุ่มจากแผงขายผักมาจากเติร์กมินิสถาน นี่ยังไม่นับโชเฟอร์แท็กซี่ที่เจอก็เป็นชาวรัสเซีย คนในตลาดบอกว่ายังมีคนจากอัฟกานิสถาน ปากีสถาน และยูเครนมาทำงานที่นี่กันเยอะแยะ
อาจจะเต็มไปด้วยความหลากหลาย แต่ดูเหมือนผู้คนก็สมานฉันท์กันดี ไม่มีรอยร้าวเหมือนขวานทอง
.....................................
('อัลมาตี้'เมืองน่าอยู่ผู้คนหลากหลาย : คอลัมน์เที่ยวนี้ขอเล่า : โดย...กาญจนา หงษ์ทอง)