ไลฟ์สไตล์

'โจ' เอกลักษณ์ กระชับมิตรด้วย 'ฟุตบอล'

'โจ' เอกลักษณ์ กระชับมิตรด้วย 'ฟุตบอล'

02 มิ.ย. 2555

'โจ' เอกลักษณ์ กระชับมิตรด้วย 'ฟุตบอล' : คอลัมน์ขอเวลานอก : โดย...เรื่อง--วันวิสา โรจน์แสงรัตน์ /ภาพ--ชาญณรงค์ พรดิลกรัตน์

          "กีฬา" เป็นการออกกำลังกายที่คนรุ่นใหม่หันมาให้ความสนใจกันมาก ไม่ว่าจะเป็น บาสเกตบอล วอลเลย์บอล เทนนิส ปิงปอง แบดมินตัน ฯลฯ แต่หากจะพูดถึงกีฬายอดนิยมของหนุ่มๆ ล่ะก็ คงไม่มีกีฬาชนิดไหนฮอตไปกว่า "ฟุตบอล" เป็นแน่ ทั้งกีฬาชนิดนี้ยังกลายเป็นกีฬาโปรดของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งหลาย รวมไปถึงผู้บริหารหนุ่มรูปหล่อวัย 30 ปี "โจ" เอกลักษณ์ ปัทมสัตยาสนธิ ทายาทคนที่ 3 ของ คุณพ่อพิศิษฐ์ และ คุณแม่ขันทอง อุดมมหันติสุข ประธานและรองประธานกรรมการบริหาร บริษัท อินเด็กซ์ ลีฟวิ่งมอลล์ จำกัด ที่สารภาพว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่โปรดปรานและถนัดที่สุด เพราะคลุกคลีอยู่กับกีฬาประเภทนี้มานานเกือบ 20 ปีทีเดียว

          "เริ่มเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เรียนชั้นประถม ตอนนั้นผมเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญซึ่งเป็นโรงเรียนชายล้วน กีฬาที่เด็กผู้ชายเล่นกันก็จะมีให้เลือกอยู่แค่ 2 อย่างคือฟุตบอลกับบาสเกตบอลเท่านั้น ตอนแรกผมก็ลองเล่นบาสเกตบอลก่อนแต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุจนถึงขั้นนิ้วมือหัก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมเลยกลายเป็นคนกลัวลูกบาส จึงหันเหชีวิตมาเล่นฟุตบอลแทน แรกๆ ก็ในตำแหน่งผู้รักษาประตูก่อน พอพักหลังก็เปลี่ยนมาเล่นเป็นกองหลัง" หนุ่มโจ ย้อนเล่าถึงที่มาของกีฬาสุดโปรดซึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อราว 20 ปีก่อน

          ปัจจุบัน "โจ" เอกลักษณ์ เป็นที่รู้จักดีในแวดวงธุรกิจในฐานะผู้บริหารหนุ่มไฟแรงแห่ง "เดอะ วอล์ค" ช็อปปิ้งมอลล์แห่งใหม่ บนถนนราชพฤกษ์ ที่เปิดให้บริการและประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี จนต้องขยายโครงการไปสู่สาขาที่ 2 บนถนนเกษตร-นวมินทร์ เมื่อไม่นานมานี้

          "หลังจากเรียนจบปริญญาตรีจากภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมก็เริ่มช่วยงานที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่เพิ่งเปิดอินเด็กซ์ สาขาที่ 3 พอดี คุณพ่อมอบหมายให้ผมดูแลงานในภาพรวมเน้นไปที่การดูแลหน้าร้าน เรียนรู้อยู่ราวปีครึ่ง ผมก็อยากออกมาทำงานด้านอื่นดูบ้าง เลยไปทำอยู่ในแผนกพัฒนากระบวนการทำงานที่ธนาคากสิกรไทย ทำอยู่ประมาณ 1 ปี ผมจึงตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทด้านธุรกิจที่ประเทศสหรัฐ แล้วกลับมาช่วยงานที่บ้านอีกครั้งในตำแหน่งพัฒนาธุรกิจ ช่วยดูแลเรื่องการพัฒนาซอฟท์แวร์ การขยายสาขา รวมไปถึงดูแลงานด้านจัดซื้อด้วย และเมื่อไม่นานนี้ผมหับมาจับโครงการ "เดอะ วอล์ค" เป็นช็อปปิ้งเซ็นเตอร์แห่งใหม่ สาขาแรกอยู่ที่ถนนราชพฤกษ์ และเพิ่งเปิดสาขาล่าสุดบนถนนเกษตร-นวมินทร์ ซึ่งทั้ง 2 แห่งผมดูแลเองแบบเต็มตัวทุกขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างเลย" ผู้บริหาร "เดอะ วอล์ค" เผย

          จากงานหลักที่ต้องรับผิดชอบและดูจะวุ่นวายไม่น้อย แต่กระนั้นหนุ่มนักธุรกิจผู้นี้ก็ยังสามารถจัดเวลาพักผ่อนสมองคลายเครียดให้ตัวเอง ด้วยการนัดแนะเพื่อนฝูงร่วมสถาบันเก่าดวลแข้งกันเป็นประจำ กับกีฬาฟุตบอลที่เขาถนัดมาแต่ครั้งก่อน โดยเลือกสนามที่เพื่อนๆ ส่วนใหญ่เดินทางสะดวกในย่านสาธุประดิษฐ์เป็นแหล่งนัดพบทุกค่ำคืนวันเสาร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สะดวกและเหมาะสมที่สุดสำหรับทุกๆ คน

          "เพื่อนๆ หลายคนจะหยุดงานวันเสาร์และวันอาทิตย์ แต่ก็มีบางคนทำงานวันเสาร์ด้วย เลยได้ข้อสรุปที่คืนวันเสาร์จะลงตัวที่สุด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเวลาหลังเลิกงานบวกกับเวลาเดินทางมาถึงสนาม กว่าจะพร้อมกันได้ก็ประมาณสองทุ่มครึ่ง ก็เล่นกันไปเรื่อยๆ จนถึงเที่ยงคืน แต่ก็มีบางสัปดาห์เพื่อนๆ ติดธุระกันหลายคนทำให้ต้องยกเลิกไป โดยการลงสนามแต่ละครั้งจะแบ่งออกเป็น 3 ทีมสลับกันลงแข่ง แต่จะแข่งกันเฉพาะกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันนี่ล่ะ ไม่ค่อยเล่นกับคนอื่นกลัวเขาจะเล่นแรง" หนุ่มนักเตะเผยไลฟ์สไตล์การเล่น ขณะวอร์มร่างกายเตรียมลงสนาม

           และจากที่หนุ่มโจเลือกให้การยิงลูกเข้าตาข่ายเป็นกีฬาสุดโปรดนี้เอง เจ้าตัวยังเล่าต่อถึงประโยชน์ที่ได้อีกว่า เตะฟุตบอลนอกจากจะเป็นการออกกำลังกายที่เรียกเหงื่อได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังทำให้ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ทั้งยังเป็นกีฬาที่ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องของความสามัคคี และฝึกในเรื่องการควบคุมอารมณ์ด้วย

          "ผมว่า ทุกตำแหน่งในสนามมีความสำคัญเท่าเทียมกัน เวลาลงแข่งเราต้องเล่นเป็นทีมเวิร์ก ต้องรู้ใจกันด้วยถึงจะเอาชนะคู่แข่งได้ และเป็นธรรมดาเวลาเล่นมักจะเกิดการปะทะกันอยู่บ่อยครั้ง เราจึงต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ ที่สำคัญซึ่งผมถือว่าเป็นเสน่ห์ของฟุตบอลเลยคือ การได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นเพื่อนของเพื่อน หรือญาติของเพื่อน ทำให้ไม่รู้สึกว่าจำเจหรือน่าเบื่อ ยิ่งตอนนี้อายุมากขึ้น บางครั้งมาสนามตามที่นัดแนะกัน แต่แทนที่จะลงฟาดแข้งกันดุเดือดเหมือนแต่ก่อน ก็จะเล่นกันแค่นิดหน่อยเอาแค่พอเหงื่อออก จากนั้นก็จะยกก๊วนไปกินข้าวด้วยกัน สังสรรค์กันตามประสา ซึ่งตรงนี้แหละที่ผมว่ามันสนุกที่สุด" สิงห์นักเตะเล่าอย่างออกรส

          เมื่อถูกถามว่า สามารถนำข้อดีจากการเตะฟุตบอลมาปรับใช้กับหน้าที่การงานที่รับผิดชอบได้อย่างไรบ้าง หนุ่มนักบริหารตอบกลับทันควันว่า ในเรื่องของงานที่ทำช่วยได้หลายอย่างดีเดียว อย่างในเรื่องความสามัคคี การทำงานเป็นทีม เพราะหากเราไม่ไว้ใจผู้ร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา เราก็ต้องทำงานคนเดียว ต้องพึ่งพาตัวเองทุกอย่าง คนที่เหนื่อยที่สุดก็คือเรา แต่ในทางตรงกันข้ามหากเราให้ความไว้เนื้อเชื่อใจลูกน้อง เชื่อว่าเขาสามารถรับผิดชอบงานตามที่เราสั่งได้ งานก็จะออกมาสำเร็จลุล่วงโดยที่เราไม่ต้องเหนื่อยคนเดียว

          "การเล่นฟุตบอลทำให้ผมเกิดจินตนาการ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผม คือขณะเล่นเราจะคิดตามตลอดเวลาว่าอีก 5 นาทีหรือ 10 นาทีข้างหน้า เพื่อนๆ ร่วมทีมจะวิ่งไปอยู่จุดไหน เกมการเล่นจะเป็นอย่างไร ฝ่ายไหนกำลังรุก ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายรับ ฝ่ายไหนกำลังได้เปรียบ ฝ่ายไหนเสียเปรียบ และหากตอนนั้นเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หรือตกเป็นรองคู่แข่ง เราจะแก้ไขอย่างไร ก็เช่นเดียวกับการทำธุรกิจ ผมว่ามันมีส่วนคล้ายกันคือเราก็ต้องวางแผนว่าในอีก 5 ปีหรือ 10 ปีข้างหน้าเส้นทางธุรกิจที่เราทำจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางไหน และเราควรตั้งรับอย่างไร" หนุ่มนักบริหารให้ความเห็น

          และเป็นธรรมดาเมื่อเล่นกีฬาประเภทนี้อยู่เป็นประจำ หนุ่มโจจึงบอกว่ามักติดตามการแข่งขันฟุตบอลแมตช์สำคัญๆ ทางทีวีอยู่เป็นประจำ เนื่องด้วยมีทีมระดับพระกาฬอย่างยูเวนตุสจากเมืองมะกะโรนีเป็นทีมโปรด และยังมีนักฟุตบอลคนดังอย่างซีเนอดีน ซีดาน หรือฉายาหัวไข่ดาว เป็นไอดอล ทั้งหนุ่มผู้นี้ยังใฝ่ฝันว่าจะต้องหาโอกาสสักครั้งหนึ่งในชีวิตไปยืนเกาะขอบสนามดูการแข่งขันฟุตบอลโลกให้จงได้

          "ผมก็ดูการแข่งขันทางทีวีบ้าง แต่ไม่ได้ติดตามตลอด จะเลือกเฉพาะแมตช์สำคัญ หรือเวลาทีมที่ชอบลงแข่งเท่านั้น ผมยังไม่เคยไปดูการแข่งขันในสนามจริงเลย ถ้ามีโอกาสก็อยากหาเวลาไปสักครั้ง อยากไปดูบรรยากาศจริง ผมว่าคงคึกคักน่าดู" หนุ่มโจกล่าวทิ้งท้ายก่อนขอตัวลงสนามฟาดแข้งกับเพื่อนๆ ที่ลงไปรออยู่ก่อนแล้ว

.....................................

('โจ' เอกลักษณ์ กระชับมิตรด้วย 'ฟุตบอล' : คอลัมน์ขอเวลานอก : โดย...เรื่อง--วันวิสา โรจน์แสงรัตน์ /ภาพ--ชาญณรงค์ พรดิลกรัตน์)