ไลฟ์สไตล์

ชวนเที่ยว:'เทือกเขายา-ป่าใหญ่พังงา'

ชวนเที่ยว:'เทือกเขายา-ป่าใหญ่พังงา'

13 พ.ค. 2555

เทือกเขายา ป่าใหญ่พังงา : คอลัมน์ชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง/ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์

                 จากคำบอกเล่าของชาวบ้านผ่านเพื่อนมาว่า ป่าใหญ่เทือกเขายา ยังมีร่องรอยของสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่าง "กระซู่" ด้วยความตื่นเต้น เพราะมันเป็นสัตว์ที่ชอบ ก็เลยตกปากรับคำโดยมีลังเลแค่แว้บเดียว ที่ลังเลก็เพราะไม่ค่อยแน่ใจ การเดินตามรอยแบบนี้ ฉันจะมีเรี่ยวแรงพอหรือเปล่า แถมยังต้องผจญกับฝูงทาก กลางป่าดิบอีก 

                  แต่เทือกเขายาหล่ะ อยู่ตรงไหนของพังงากัน แทบจะไม่ปรากฏ

                  "เขายา" ชื่อที่มาปรากฏในสารบบนักท่องเที่ยวเดินทางสายป่า  หรือจะเรียกเก๋ๆ ว่าอีโคทัวร์ เมื่อไม่นานมานี้ แถมยังมีนักท่องเที่ยวขึ้นไปถึงไม่มากมายนัก  ข้อมูลเขายามีน้อยมากหากไม่ได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง เพราะเขาลูกนี้เชื่อมต่อไปถึงอุทยานแห่งชาติศรีพังงา จ.พังงา เชื่อมต่อไปถึงเขื่อนรัชชประภา อช.เขาสก จ.สุราษฎร์ธานี ก็ได้เช่นกัน

                  จังหวัดพังงา ใช่ว่าทุกพื้นที่จะเป็นท้องทะเลไปเสียหมด ใครๆ ไปก็มักจะนึกไปถึงเวิ้งอ่าวพังงาที่สวยงาม ขนาดว่าเคยเป็นฉากในภาพยนตร์เรื่อง  James Bond 007 ตอน เพชฌฆาตปืนทอง (The Man with the Golden Gun) ด้วย แต่จริงๆ แล้ว จังหวัดพังงา มีพื้นที่ป่าเขาที่สมบูรณ์เบียดพื้นที่อยู่ติดขอบจังหวัดสุราษฎร์ และระนองด้วย และแน่นอนว่า หนึ่งในนั้นคือ เทือกเขายา ต.บางวัน อ.คุระบุรี ที่ฉันจะพาไปนี่แหละ

                  จากกรุงเทพฯ คราวนี้นั่งรถทัวร์ หลับสบายๆ บ้าง ไปลงที่ขนส่งอำเภอคุระบุรี จ.พังงา ถึงราวๆ ตี 5 ฟ้าเพิ่งเริ่มสาง ลงจากรถได้ ก็แวะจิบกาแฟอาโก กับปาท่องโก๋ร้อนๆ เรียกสติตรงขนส่งนั่นแหละ แล้วค่อยเคลื่อนย้ายตัวเอง เดินออกจากซอยขนส่ง ข้ามถนนไปฝั่งตลาดสด เพื่อเตรียมเสบียงกัน แบ่งๆ กระจายกันไปซื้อข้าวของ แล้วมารวมพลก็พอดีรถที่นัดแนะไว้มารับพอดี

                  จากตลาดคุระบุรี เดินทางต่อไปอีกราวๆ 13 กม. ไปที่ร้านอาหาร "คุรอดริมธาร" บ้านคุรอด เพื่อเตรียมตัวและรอเพื่อนที่จะมาสมทบ 

                  กว่าจะเรียบร้อย ออกเดินทางไปยังจุดขึ้นเป้  ก็ปาเข้าไปเกือบ 11 โมง เส้นทางที่รถเข้าไปส่งผ่านโครงการพระราชดำริที่ทำวิจัยพืชพันธุ์ต่างๆ ช่วยชาวบ้านแถวนั้น เข้าไปส่งก็เกือบถึงฝายน้ำล้นเล็กๆ ชายป่า 

                  เส้นทางช่วงแรก สบายๆ แค่เดินเลาะตามหิน และธารน้ำตกเล็กๆ ไป  ไม่ทันถึงชั่วโมงก็สุดทางแอ่งน้ำใสๆ ถึงทางต้องไต่ขึ้นเขา ... เอาแล้วซิ แค่มองก็รู้สึกได้ถึงความชัน เสียงนกเงือก แว่วมาเหมือนอยู่ไม่ไกล แล้วมันก็ไม่ยอมไปไหน หรือว่า ... รังของมันอยู่แถวนี้

                  พวกเราไต่ขึ้นทางชันไปเรื่อยๆ เสียงชะนี กู่อยู่ไกลๆ เหมือนบอกกล่าวการมาเยือนของเราให้เพื่อนๆ ฝูงอื่นรับรู้  ไม่ทันไร “ทาก” สัตว์ตัวน้อยก็กระดื๊บ มาทักทาย 

                  ทางยังชันขึ้นเรื่อยๆ ใครเดินทำระยะได้ก็ไปก่อน ใครเหนื่อยนักก็พักไปเรื่อยๆ ส่วนใครหิวก็เอาข้าวถุงที่เตรียมมา นั่งพักกินก่อน 

                  “ยังดีนะ ถ้าขึ้นเขายา จะมีช่วงที่ชันกว่านี้ แต่เดินใกล้กว่า” ลุงรัน คนนำทางแห่งบ้านคุรอด บอกกับพวกเราระหว่างที่นั่งพัก ชี้ชวนให้ดูยอดเขายา ที่เห็นอยู่ลิบๆ ด้านซ้าย  เดินๆ ไปเหมือนจะถึงสันเขา แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่พ้นช่วงทางชัน กว่าจะถึงทางสันที่เดินสบายหน่อยก็ล่วงเข้าเย็น  กับฟ้าครึ้มๆ ที่อยู่ด้านบน

                  ลุงรัน หาทางตัดลงหุบ เพื่อหาที่พักใกล้แหล่งน้ำหน่อย จะได้ไม่ลำบากนัก ครั้นจะไปตามทางที่เคยไป ก็กลัวจะค่ำซะก่อน  ทางขึ้นว่าชัน ทางลงก็ไม่แพ้กันเท่านั้น เพียงแต่ไม่เหนื่อยหอบเหมือนตอนขึ้น แต่ตอนนี้หลายคนเริ่มหมดแรง หยุดก็ไม่ได้ ไม่นานฝนก็โปรยปรายลงมาบางๆ พอกระตุ้นให้พวกเราเดินต่อไป

                  ไม่ทัน 5 โมงเย็น เราก็ตัดลงถึงธารน้ำในหุบ ใจมาเป็นกอง ถึงที่พักแล้วซิ แต่ดูทำเลแล้ว ไม่น่าจะเหมาะตั้งแคมป์เท่าไหร่ เพราะที่ราบไม่ค่อยมี ต้นไม้รกเกิน เพื่อนที่ลงมาก่อน เดินไปเซอร์เวย์ ส่งสัญญาณมา “ข้างหน้าทำเลดีกว่า เดินอีกนิดเดียว”  พวกเราอิดออดพอเป็นกะสัย ก็ขึ้นเป้เดินไปตามธารน้ำ ไม่ไกลนักก็ถึงมุมที่น่าจะเป็นทำเลทอง

                  ฉันผูกเปลริมธารน้ำ ด้านล่าง เพราะดูแล้ว วันนี้ปลอดโปร่ง ถ้าฝนมาหนักค่อยว่ากันใหม่ ขอแค่อย่างต้องย้ายเปลหนีกลางดึกเป็นพอ ส่วนทางดินโล่งๆ กลางดงไม้ใหญ่ด้านบนเป็นกองกลางนั่งพักผ่อน พูดคุย ทำอาหาร

                 ความมืดเริ่มมาเยือนเร็ว หรือพูดง่ายๆ คือมาถึงที่พักก็เกือบมืด เลยต้องรีบเตรียมอาหาร จะได้มีเวลานั่งคุยกัน แล้วก็วางแผนเดินทางวันต่อๆ ไปด้วย

                  “พี่ดูหน่อยซิ อันไหนพริกแกง อันไหนแกงส้มหน่ะ” น้องส่งถุงพริกแกงมาให้ตั้ง 3 ถุง “แม่ค้าบอกจะเขียนข้างถุงให้ก็ไม่เอา” ไม่วายแซวเพื่อนที่ไปซื้อด้วยกัน  กว่าจะดม จะชิมกันรู้เรื่องพริกไหนเป็นพริกไหน ก็ขำกันไปหลายยก แต่ก็โชคดีที่เดาแม่น กับข้าวมื้อแรกในราวป่าเลยอร่อยสมใจ

                  ค่ำคืนกลางป่าลึก เสียงแมลงกรีดปีก เสียงจั๊กจั่น เสียงสัตว์เล็กๆ ที่พอให้แว่วได้ยิน ทำให้รู้ว่าป่ายังปกติ แต่ถ้าทั้งป่าเงียบกริ๊บสำหรับฉันแล้วคงนึกถึงเจ้าป่ากำลังออกล่าอยู่ก็เป็นได้

                   เช้าวันรุ่งขึ้น ไม่รีบไม่ร้อน เก็บแคมป์กันสายๆ เพราะวันนี้เดินสบายๆ ไปตามธารน้ำ แม้จะมีหินคอยนวดเท้า ก็ระยะกำลังดี ไม่นานก็ตัดขึ้นอีกฝั่ง แต่ก็ต้องไปสะดุดอีกฟากหนึ่งที่เราต้องข้ามไป เพราะข้างๆ น้ำ เป็นโคลนเละ มีก้อนหิน มีขอนไม้ ก็พอทอดเหยียบข้ามไปได้แบบทุลักทุเล พลาดก็ลงเลนไป แต่อีกฝั่งที่เราตัดขึ้นไป ก็ต้องตะลึงกับภาพสวยงามเบื้องหน้า โค้งน้ำรูปตัวเอส(S)  เซาะไปตามร่องเขา

                  สายน้ำใสสงบ สีเขียวมรกต กลางป่าลึก สวยงามแต่ก็ทำให้เราชะงักไปได้ทีเดียว ... แล้วเราจะข้ามไปยังไงกัน

                  ลุงรันบอกว่า ที่นี่มีปลาชะโดตัวใหญ่ น้ำหนักไม่น่าจะน้อยกว่า 3 กก. แค่น้ำนิ่งๆ ลึกๆ ฉันก็ไม่กล้าลงแล้ว ยิ่งมีปลาดุๆ ตัวใหญ่ๆ ด้วย ระหว่างที่เดินเลาะลำน้ำไป ยังได้ยินเสียงปลาฮุบเหยื่อ เห็นเจ้าปลาตัวเล็กๆ กระโดดหนี ก็รู้แล้วว่า เราอย่าลงน้ำเลยดีกว่า 

                 ริมธารน้ำก็ไม่ธรรมดา ดินนิ่มๆ กับรอยเท้าที่ปรากฏ ทำให้รู้ว่า แถวนี้ไม่ธรรมดา  “รอยกระทิง” บ่งบอกขนาดตัวว่าต้องใหญ่มากๆ เพราะแต่ละรอยแทบจะเท่าๆ กับฝ่าเท้าเราทีเดียว แล้วยีงมีรอยใกล้เคียงกันแต่เล็กกว่า “วัวแดง” ลุงรันบอก 

                  ร่องรอยที่เห็นมีเยอะทีเดียว นี่ถ้ามีเวลามาซุ่มโป่งดู คงเพลินน่าดู บางแห่งมีรอยขุดของหมูป่าฝูงใหญ่

                  หลังจากพักดูลู่ทางกันพักหนึ่ง เหลือทางเดียวที่ไปได้แบบไม่ต้องเสี่ยง คือ เดินตัดเขาไป เอาละซิหันมาเสี่ยงกับทาก และทางชันๆ รกๆ แทน เดินไปหยุดดูทางไป ฟังเสียงค่างที่กู่เสียงบอกพรรคพวกเหนือยอดไม้  ไม่นานเท่าไหร่ ก็โผล่มาอีกฟากหนึ่งของธารน้ำที่เราจะไป

                  ข้ามไปนั่งหอบๆ กับในร่มเงาไม้ใหญ่ริมบึงน้ำ ข้าวเที่ยงลำเลียงออกมาจัดการ ก่อนออกเดินทางกันต่อ  บระเจ้า ... เดินแป๊บเดียว แค่บ่าย 3 ก็ได้นอนแช่น้ำเล่น มีเวลาพักผ่อนแบบเหลือเฟือกันซะแล้ว ที่พักตรงนี้ กับอีกคืนที่เหลือ ซึ่งเดินย้อนกลับทางเก่า เรายึดแนวพักกันริมธารน้ำ ที่เดินจะเดินสบายๆ มีสายน้ำใสๆ ให้แช่เล่น พักผ่อนตามอัธยาศัย ที่หาได้ยากในป่าคอนกรีต

                   ขากลับเราตัดขึ้นทางใหม่ ตามรอยกระทิง เพราะทางจะไม่ชันมากเหมือนตรงช่วงที่เดินลงมา แต่ก็ยังทำเอาหยุดหอบไปหลายยก

                  เสียงชะนียังกู่ร้อง แล้วก็มีเสียงเพื่อนตื่นเต้น พร้อมกับจับกันมาดู “เต่า” พันธุ์อะไรฉันจำแนกไม่ถูก รู้แต่ตัวใหญ่ ลายกระดองชัด หน้าตาสีขาว เพื่อนลูกคลำไปก็บอกไปอายุจะได้ยืนๆ ทำเอาเพื่อนอีกคนถึงกับเอ่ยปาก “แบบนี้ผมก็อายุยืนไป 200 ปีน่ะซิ ถืออยู่ตั้งนาน” ฮา

                  กลับลงมาถึงข้างล่าง  แทบลืมไปเลยว่ามาตามรอยกระซู่  แค่เจอเต่า รอยกระทิง วัวแดง และบึงน้ำใสราวกับลากูน กลางป่าลึก กับมิตรภาพในราวไพร ก็ทำให้เราอิ่มเอมใจได้มากกว่ามาก

                  และพังงา ก็ไม่ใช่ว่า จะมีดีแค่ทะเลแสนงาม เสียแล้วซิ

.........................................
(เทือกเขายา ป่าใหญ่พังงา : คอลัมน์ชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง/ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์)