
'โมโกจู'เงื่อนเวลาป่าแม่วงก์
ชวนเที่ยว : โมโกจู เงื่อนเวลาป่าแม่วงก์ โดย...เรื่อง/ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์
ร้อน ... แล้ง ซะเหลือเกิน กรมอุตุนิยมวิทยาบอกว่าปลายเดือนเมษายน อุณหภูมิน่าจะทะลุ 42 องศาเซลเซียส ดูเหมือนอากาศร้อนจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี ทุกปี และร้อนไปกว่านั้นเมื่อมีมติ ครม.อนุมัติสร้างเขื่อนแม่วงก์ ด้วยงบประมาณ 13,000 ล้านบาท ทำเอาเสียวแว้บในใจ ...
อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ เป็นป่าใหญ่ที่เชื่อมต่อภาคกลางและภาคตะวันตกเข้าด้วยกัน มีพื้นที่ 558,750 ไร่ หรือ 894 ตร.กม. แต่จะต้องถูกทอนออกมาเป็นอ่างเก็บน้ำ ราว 2% หรือ 18 ตร.กม. ท่ามกลางข้อกังขาการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ผ่านแล้วหรือ เพราะป่าแม่วงก์จัดเป็นป่าที่มีความหลากหลาย เรียกได้ว่า ใครมาที่นี่ได้ครบรส ทั้งป่าดิบเขา, ป่าดิบแล้ง, ป่าเบญจพรรณ, ป่าเต็งรัง ขณะที่มีการบันทึกสัตว์ป่า ทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม, นก, มีสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และปลา มากมายหลายชนิด
เพื่อนหลายต่อหลายคนแซวกันว่า อีกหน่อยก็ค่อยพายเรือไปดู หินเรือใบ ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์บนยอดโมโกจู ซึ่งเป็นยอดสูงที่สุดที่ระดับ 1,964 เมตร และเป็นต้นน้ำแม่วงก์ ทำให้ฉันต้องหวนรำลึกถึงโมโกจูเมื่อครั้งเยือนตอนต้นร้อน ก่อนปิดป่าประจำปี จริงๆ ถ้าไปช่วงหนาวจะได้บรรยากาศต่างไปอีกแบบ
"โมโกจู" แห่ง อุทยานแห่งชาติแม่วงก์
โมโกจู ... เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่าเหมือนฝนจะตก เพราะความที่ยอดเขาสูง มีเมฆหมอกปกคลุม กับเสียงลม มีอากาศหนาวเย็นตลอดเวลา ... โมโกจู เป็นป่าใหญ่ในภาคเหนือตอนล่าง ก่ำกึ่งระหว่าง จ.กำแพงเพชร กับจ.นครสวรรค์ เป็นอีกดินแดน ที่นักท่องเที่ยวใฝ่ฝันจะได้ไปเยือน ทั้งในเส้นทางน้ำตก ที่ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน หรือจะเดินขึ้นยอดเขาสูง ก็ใช้เวลาเบ็ดเสร็จ 5 วัน 4 คืนกำลังดี ที่นี่มีตำนานเล่ามากมาย นับตั้งแต่เพื่อนที่เข้าไปน้ำตกแม่กระสา กลับมาเป็นโรคสครัฟไทฟัส แทบตาย หรือแม้กระทั่งเส้นทางที่มีทาก หรือทางขึ้นยอดที่โหดเอาการ และหินรูปเรือใบ
แต่สำหรับฉันเอง อยากไปสัมผัสป่าใหญ่ที่ยังอุดมสมบูรณ์ในแถบนี้ ที่หลายคนบอกว่าเดินเหนื่อย เพราะเส้นทางยาว ระยะทางไปกลับ 27 กิโลเมตร รวมถึงสภาพอากาศหนาวเย็น และธารน้ำที่ต้องข้ามไป-มาถึง 9 คลอง
จุดเริ่มต้น ที่คลอง 0
เรา 11 ชีวิต กับเจ้าหน้าที่ 2 คนและลูกหาบ 3 คน เหมารถเจ้าหน้าที่ไปส่งที่คลอง 0 จุดเริ่มเดิน ขึ้นเป้เร่ร่อนเดินทางกลางป่าตั้งแต่เริ่มข้ามน้ำที่คลอง 0 เดินไปไม่ไกลนัก ก็สำนึกได้ถึงความระอุของผิวดินจากไฟป่า ที่เริ่มลุกลามพื้นที่ป่าชายขอบ บางจุดต้นไม้ไหม้ไปหมดแล้ว บางจุดยังมีกลุ่มควันอยู่ โอว ว ว ... มาช่วงใกล้ร้อนแล้วก็แบบนี้ล่ะ ป่าดิบแล้งมักถึงจุดพักผ่อนตัวเองด้วยการเผาตัวตาย รอเวลาก่อกำเนิดใหม่เมื่อฝนมา เป็นวัฏจักรไป
ระยะแรกก็ต้องเดินไป พักไป ให้ร่างกายเริ่มปรับตัว ผ่านไปราวเที่ยงเศษกับความร้อนที่ใกลล้ฮีท ก็ถึงคลอง 1 ฉันไม่สนใจใครล่ะ ทิ้งเป้ โดดลงน้ำก่อนเลย กระแสน้ำที่เย็นเจี๊ยบ ค่อยๆ ดูดไอร้อนออกไปจากตัว ก่อนจะส่งผ่านความเย็นเข้ามาแทนที่ เล่นน้ำจนพอใจ ค่อยขึ้นไปกินข้าวเที่ยง
หลังมื้อเที่ยง ก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ ข้ามคลอง 1-2-3 ก่อนจะไต่ทางชันเล็กๆ ทะลุไปคลอง 4 ก่อนข้ามไปคลอง 5 ก็หาที่ตั้งแคมป์พัก บริเวณลานกว้างกลางป่าไผ่ ที่ใกล้กับคลอง 2 เส้น เรียกว่ามีน้ำกินน้ำใช้สบาย
ห้องอาบน้ำของเรา ฝาห้องเป็นต้นไม้ กับกอหญ้าริมน้ำ มีท้องฟ้าเป็นหลังคา พื้นเป็นหินกรวด กับน้ำใสๆ ไหลเชี่ยวเล็กน้อย เล่นน้ำกันจนเกือบค่ำ
มื้อค่ำวันแรกเป็นมื้อละลายพฤติกรรม เราค่อยๆ ทำความรู้จักกัน เพราะว่าไปในทริป 11 คน ฉันรู้จักกับน้องแค่ 2 คน แต่ก็เชื่อเสมอว่า หากเรารักการเที่ยวคล้ายๆ กัน เราก็คงพูดจาภาษาเดียวกัน และก็เป็นเช่นนั้น...
เช้าวันแรกในป่าใหญ่ ตื่นมาแบบไม่รีบเร่ง เพราะไม่รู้จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ไหน ต้มน้ำชงกาแฟจิบ แล้วค่อยไปจัดการภารกิจอื่น กินข้าวเช้าเสร็จก็เก็บสัมภาระ ออกเดินทางกันต่อ เป็นหมายคืนนี้อยู่ที่คลอง 9 คลองสุดท้ายก่อนขึ้นยอดโมโกจู
“หนักเหมือนเดิมเลยแฮะ” ฉันคิดในใจขณะขึ้นเป้ แต่พอผ่านไประยะหนึ่งก็ลืม เพราะมัวแต่เดินไปคุยไป ถ่ายรูปไป เล่นน้ำไป ข้ามคลอง 6-7-8 เริ่มเป็นเส้นทางเดินทางราบ เดินๆ ไป ฉันมารู้ตัวอีกทีก็อยู่คนเดียวกลางป่าไผ่ “อืมมม ทำไมเงียบจัง” พอคิดถึงความเงียบ ฉันก็รีบจ้ำอ้าว ตามเพื่อนกลุ่มหน้าไป อย่างน้อยๆ มีเพื่อนให้อุ่นใจดีกว่า เพราะขืนหยุดรอเพื่อนกลุ่มหลังกว่าจะมา อาจจะเกิดอาการปอดแหกซะก่อน 555
ถึงที่หมาย คลอง 9 ชอบมาก ที่พักดูจะเป็นทำเลที่ดี มีที่ผูกเปลพอดิบพอดี อยู่ริมธารน้ำตามสเป็ค แถมมีเวลาเหลือเฟือจัดการตั้งแคมป์ และกินข้าวเที่ยง ตกบ่ายก็เดินตัวเปล่าๆไปเที่ยว น้ำตกแม่เรวา ใช้เวลาเดินราว 1 ชั่วโมง ทางขึ้นหน้าน้ำตกที่จะขึ้นแอ่งข้างบนชันเอาการ ต้องฉุดๆ ดึงๆ กันขึ้นไป บางคนก็เล่นน้ำแค่ด้านล่าง
เล่นน้ำกันจนเกือบเปื่อย ถึงกลับแคมป์กันได้ ถึงที่พักก็เกือบ 5 โมงเย็น คราวนี้จัดแจงอาบน้ำอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ก่อนจะมาล้อมวง ช่วยกันทำกับข้าว มื้อนี้ เต็มที่ อาหารเหลาในราวป่าเหมือนเดิม แล้วก็ใช้เวลาที่เหลือพูดคุยสัพเพเหระ ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน
เช้านี้ ตื่นมาด้วยความสดชื่น เพราะนอนได้เต็มอิ่ม สูดอากาศได้เต็มปอด วันนี้ซิที่เราจะต้องเดินทางชันขึ้นยอดกันแล้ว ข้าวของไม่จำเป็นเลยถูกแยกเก็บไว้ที่แคมป์นี่ อาหารเอาไปพอหุงหาได้ 2 มื้อ
บางคนบอกว่า เวลาเดินขึ้นยอดเขา ให้ก้มหน้ามองเท้าจะได้ไม่เหนื่อยมากหรือรู้สึกท้อ หรือมองระยะก้าว สลับกับมองไกล เพื่อระวังชนต้นไม้กิ่งไม้ แต่หลายครั้งที่ฉันมักเลือกที่จะแหงนหน้ามองยอดไม้ โดยเฉพาะเมื่อยามอยู่ในดงไม้ใหญ่ แล้วก็ไม่ผิดหวัง เมื่อได้เจอความเขียวชอุ่มของใบไม้ หรือจะมองไปสองข้างทาง ก็อาจจะได้เห็นดอกไม้แปลกตา
ที่เค้าว่าทางชัน ช่างชันซะจริงๆ เพราะระดับที่ไต่ขึ้น ดูจะไม่สิ้นสุดง่ายๆ กว่าจะถึงที่หมายใกล้ยอดโมโกจูก็เล่นเอาหอบไปหลายยก
จัดการที่พักเสร็จ เราก็คว้ากล้อง อออกเดินไปริมหน้าผา ถ่ายรูปกันดีกว่า เดินไม่ไกลมาก ก็ทะลุดงต้นไม้ต้นเตี้ย ออกสู่สันเขาแคบๆ ซ้ายก็ผา ขวาก็เหว มีกล้วยไม้ "เอื้องตาเหิน"ออกดอกเต็มต้นไม้ใหญ่ที่มันอิงอาศัย "กุหลาบขาว" ยังมีดอกงามๆ และงามเข้าไปอีก ก็ทะเลหมอก ที่พัดมาเป็นระลอก แค่คล้อยบ่ายอากาศก็เริ่มเย็นลงอย่างรวดเร็ว
วันนี้ถ่ายรูปซะให้พอใจ เผื่อพรุ่งนี้ขี้เกียจตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น ที่ดูจากสภาพหมอกแล้วไม่แน่ใจว่าจะได้เห็นหรือเปล่า
ค่ำคืนนี้ มื้ออาหารง่ายๆ ใช้น้ำไม่มากนัก ก่อนจะตบท้ายด้วยวงเสวนา ปิ้งปลาหมึกย่างเตาน้ำมัน เหลือเชื่อ พวกเราไปนั่งย่างปลาหมึกแห้งตัวโตๆ บนภูเขา บนดอยโมโกจู 5555 ใช้ไผ่หลอดที่ฉันก็เพิ่งเคยเห็น แทนหลอดกาแฟ ดูดน้ำต้มยำอุ่นๆ ดับความหนาวเย็นของอากาศ คืนนี้เรานอนกันไม่ดึกมาก ด้วยอากาศที่หนาวเย็น และน้ำค้างแรง
มาสะดุ้งตื่นอีกที ก็ตอนได้ยินเสียงคนเดิน เสียงเรียกไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ฉันเองกว่าจะฉุดตัวเองออกจากถุงนอนได้ก็นับ 1-10 ไปหลายรอบ
เดินส่องไฟฉายกันไป พระจันทร์ยังค้างฟ้า ส่วนพระอาทิตย์ยังไม่โผล่มา วันนี้โชคไม่เข้าข้าง หมอกหนา ฟุ้ง เมฆแน่นท้องฟ้า เกินกว่าแสงอาทิตย์จะทอส่องมา แต่เราก็ผลักดันปีนขึ้นไปบนหินเรือใบ ถ่ายรูปกันจนพอใจ ถึงได้เดินกลับแคมป์ได้ซะที เช้านี้เรากะว่าไม่โอ้เอ้มาก ยิงยาวลงไปกินข้าวเที่ยงที่คลอง 9 แล้วเดินออกให้ได้ระยะมากที่สุด วันสุดท้ายจะได้เดินสบายๆ
ขาลงนี่ ใช้เวลาไม่มากนัก เพราะกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ตรงไหนทางชันๆ ก็จะกึ่งวิ่งลง เพื่อจะได้ไม่เสียหลัก แล้วเข่าก็ไม่ต้องรับน้ำหนักมากเกินไป เดินไปเดินมาเหลือกันอยู่ 3 คน น้องคนหนึ่งบ่นโดนอะไรไม่รู้เข้าตา ช่วยกันดูยังไงก็ไม่เห็น ... ราวๆ เที่ยงก็ลงถึงคลอง 9 จัดการมื้อเที่ยงกันซะที แล้วก็ออกเดินทางต่อ
เดินไปคุยไป เหนื่อยนักก็พักเล่นน้ำ ตะวันคล้อยลงทุกที เราเดินข้ามน้ำคลองแล้ว คลองเล่า ไปจนถึงคลอง 3 ราวๆ 5 โมงเย็น เลยจัดการตั้งแคมป์กันตรงนี้แหละ
ฉันขอนั่งแช่เท้าในน้ำให้หายเมื่อยซะหน่อย รู้สึกว่า วันนี้ขาเริ่มบวม แล้วก็พองอีกต่างหาก เพราะตอนเดินข้ามน้ำ ทรายจะชอบเข้าไปในรองเท้า แล้วก็ขี้เกียจที่จะถอดรองเท้าออกมาเคาะซะด้วย พอเดินไปนานๆ มันก็เลยเจ็บ บางที ... ถ้าฉันหยุดเสียเวลาซะหน่อยเคาะทรายออก ก็คงไม่เจ็บแบบนี้
คืนสุดท้ายในราวป่า พวกเราคุยกันออกรสกว่าเคย เพราะบรรยากาศริมธารน้ำแสนจะสบาย
เช้านี้ตื่นมาอย่างคนขี้เกียจ โอ้เอ้อยู่ในเปล จนได้กลิ่นกาแฟนั่นแหละ ถึงได้ลุกออกมาได้ เจ้าโกยังบ่นเจ็บตา ตาเริ่มบวมด้วย สว่างแล้วเลยได้น้องเจี๊ยบพยาบาลคนสวยที่ร่วมทริปมาด้วยช่วยดูอีกที “ อ๋ายยยย เห็บลม” ดีนะที่เจอซะก่อน ตัวจิ๊ดเดียวเนี่ยะ แต่ฤทธิ์ร้ายนัก ถ้าแพ้หล่ะก็ ตามบวมไปหลายวันเชียว บางคนจะพาลจับไข้
ขากลับออกจากป่าวันนี้ ดูเหมือนจะร้อนหนักกว่าเดิม เพราะต้องเดินฝ่าไอแดด และไอไฟป่าที่ลุกลามมากกว่าเมื่อ 4 วันก่อน ต้นไม้ที่เห็นรายรอบตัว ยืนต้นดำเป็นตอถ่าน เส้นทางเดินบางช่วง มีร่องรอยไฟไหม้ เหลือแค่ช่องเล็กๆ ให้พอวางเท้าก้าวผ่านไป
เราเดินฝ่าไอร้อนๆ คราวนี้เท้าที่เจ็บอยู่ พองจนรู้สึกได้ ขณะที่ความหิวมาเยือนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ขนมเหลือๆ บะหมี่แห้งๆ ก็แบ่งกันกินอร่อยได้ แถมได้มะขามป้อมที่เดินไปเจอต้น เลยเก็บมากัดกินให้รสฝาดๆ ของมันช่วยบรรเทาอาการกระหายน้ำ
ถึงคลอง 0 เท่านั้นแหละ ทุกคนลงเล่นน้ำกันราวกับเจอโอเอซิส กลางทะเลทราย แช่น้ำ ดำผุดดำว่าย ระหว่างรอรถเจ้าหน้าที่มารับ “เย้....เรารอดตายแล้ว เอ้ย ย ...เรามาโมโกจูแล้ว”
เหนื่อย ลำบากแต่ก็อยากไป เพราะรายรอบของผืนป่าและผองเพื่อนเหมือนช่วยเติมเต็มชีวิตที่แว่งหวิ่นในเมืองใหญ่
ฉันเองไม่ได้มุ่งหมายมาแค่เพื่อพิชิต หากแต่อยากเข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ และฉันหวังลึกๆ ป่าผืนนี้จะอยู่รอดตลอดไป โดยที่ฉันไม่ต้องพายเรือไป ... "โมโกจู"
การเดินทาง : จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1117 สายคลองลาน-อุ้มผาง ถึงสี่แยกเข้าคลองลานให้ตรงไปอีก 19 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานฯ หรือมาทางเส้นลาดยาว-คลองลาน เมื่อถึงสี่แยกตลาดคลองลานแล้วให้เลี้ยวซ้ายไปที่ทำการอุทยานฯ หรือ นั่งรถโดยสารปรับอากาศ กรุงเทพฯ-คลองลาน ลงที่ตลาดคลองลาน แล้วเหมารถสองแถวหรือรถมอเตอร์ไซค์ไปอุทยานฯ ก็ได้
..................................
(ชวนเที่ยว : โมโกจู เงื่อนเวลาป่าแม่วงก์ โดย...เรื่อง/ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์)