
ย้อนเวลา500ปีหาอดีต'ไทย-โปรตุเกส'
ศิลปวัฒนธรรม : ย้อนเวลา 500 ปี หาอดีต 'ไทย-โปรตุเกส'
‘อัลฟองซู ดือ อัลบูแกร์เกอ’ , ‘โดมิงกูซ ดือ ไซซ่าส์’ , ‘ฟรานซิส จิตร’ , ‘ดอญ่า กูโยมาร์ เดอ ปินา’ ...ชื่อเสียงเรียงนามเหล่านี้ คือบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของไทย ที่ในวัยเยาว์เคยท่องจำได้อย่างขึ้นใจในชั้นเรียนวิชาประวัติศาสตร์ วิชาเรียนที่ถูกหลงลืมตามกาลเวลา ไม่ต่างจากการลืมเลือนในรากเหง้าของความเป็นคนไทย “มิวเซียมสยาม” จึงได้จัดนิทรรศการ “Olá Sião 500 ปี ไทย-โปรตุเกส” ปฏิบัติการสุดขอบฟ้า เพื่ออำนาจ เงินตรา หรือศรัทธาแห่งพระเจ้า? เพื่อนำเสนอเรื่องราวความสัมพันธ์ และการเข้ามาของชนชาติโปรตุเกสที่เกี่ยวข้องกับดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสยามประเทศในสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงปัจจุบัน ผ่านการเล่าเรื่องจากนักแสดงที่สวมบทบาทเป็นชาวโปรตุเกสผู้ซึ่งมีเป็นบุคคลที่นำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ในรูปของศาสนา ความเชื่อ ศิลปวัฒนธรรม ที่หลอมรวมกันระหว่างโปรตุเกสและสยามจนกลายเป็นมรดกสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้นับเป็นครั้งแรกของนิทรรศการซึ่งไม่อยู่ในกรอบเดิมๆ
ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ห้องนิทรรศการ อัลฟองซู ดือ อัลบูแกร์เกอ รับบทโดย จิรวัฒน์ ชาญเชี่ยว จะเป็นบุคคลสำคัญคนแรกที่จะเล่าให้ผู้ชมได้รู้ถึงจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างโปรตุเกสและสยาม ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2054 ภายหลังเข้ายึดเมืองมะละกาซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของสยามประเทศ อีกทั้งเป็นจุดกำเนิดของเส้นทางเครื่องเทศ สินค้าที่นำความร่ำรวยมาสู่ราชสำนัก
“แทนที่ผู้ชมจะได้รู้เพียงว่า อัลฟองซู ดือ อัลบูแกร์เกอ คือผู้สั่งให้ทูตนำสาสน์มาเจริญสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ในครั้งนี้ผู้ชมจะได้รู้ว่า บุคลิกของชายชาตินักรบผู้นี้ ไม่ได้โหดเหี้ยมกระหายสงครามเหมือนการกระทำ แต่กลับเป็นผู้ที่สง่างาม เยือกเย็นและสุขุม โดยผู้แสดงจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เคยกระทำไว้ในอดีต ผ่านการบรรยายให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่ในห้วงเวลานั้นๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจว่าเพราะเหตุใด คนที่เกิดในแผ่นดินไทยจึงมีทัศนคติและความเชื่อที่ต่างกัน” จิรวัฒน์กล่าว
ด้าน สุมณฑา สวนผลรัตน์ ผู้รับบท ดอญ่า กูโยมาร์ เดอ ปินา หรือ ท้าวทองกีบม้า เจ้าตำรับขนมไทยชาววัง ลูกครึ่งญี่ปุ่น-โปรตุเกส ภริยาของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เผยว่า บางคนอาจรู้ว่า ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง เป็นขนมที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมอาหารไทยและโปรตุเกส แต่ก่อนที่ท้าวทองกีบม้าจะฝากเสน่ห์ปลายจวักไว้ในวังจนกลายเป็นที่เลื่องลือและสืบทอดมาถึงยุคปัจจุบัน อาจไม่เคยมีใครรู้ว่า เธอต้องสูญเสียสามีซึ่งเป็นเสนาบดีคนสนิทของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งถือเป็นจุดตกต่ำและทุกข์ระทมของชีวิต
“ในฐานะนักแสดง ก็จะต้องมีการทำความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของหญิงลูกครึ่งผู้นี้ให้ได้มากที่สุด โดยการรับฟังเรื่องราวจากคนเก่าแก่เชื้อชาติโปรตุเกสที่อาศัยอยู่ในย่านกุฎีจีนและวัดซางตาครู้ส ทำให้รู้ว่ามีประชากรลูกครึ่งโปรตุเกส อาศัยอยู่ร่วมกับสังคมไทยมานานกว่า 500 ปี แสดงว่าไทยเรามีการเปิดรับชนชาติต่างๆ มานานมาก และการเป็นลูกครึ่งของท้าวทองกีบม้าต้องเผชิญกับเหตุการณ์ใดบ้าง นักแสดงจะต้องสื่อสารข้อมูลต่างๆ ผ่านท่าทาง สีหน้า แววตา และน้ำเสียง กระตุ้นให้เกิดเป็นภาพจดจำของผู้ชม ถือเป็นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์แนวใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการอ่านอย่างแน่นอน” สุมณฑา อธิบาย
“ฟรานซิส จิตร” ที่รับบทโดย ณัฐพงศ์ เศรษฐเดช ช่างภาพเชื้อสายโปรตุเกสคนนี้ เป็นช่างภาพอาชีพและช่างภาพประจำราชสำนักสยามคนแรก ซึ่งต่อมาได้เปิดร้านถ่ายรูปขึ้นเป็นแห่งแรกของกรุงสยามด้วย
“หากจะเรียกท่านฟรานซิส จิตร ว่าเป็นศิลปินก็ไม่ผิดนัก ภายใต้บุคลิกของชายหนุ่มหน้าเข้มเยี่ยงไทยแท้ที่มีความกระฉับกระเฉงแต่สุขุมนุ่มลึก มีความกระตือรือร้นที่จะถ่ายทอดแนวความคิดของตนเองให้ผู้อื่นได้รับรู้ ในยุคสมัยที่ชายไทยนิยมตัดผมทรงมหาดไทย แต่ฟรานซิส จิตรตัดผมเกรียนคล้ายทรงสกินเฮด ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่เคยปรากฏในบทเรียน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์สังคมไทย นี่คือการเรียนรู้แนวใหม่ที่ช่วยให้เรารู้ถึงรากเหง้าความเป็นไทยมากขึ้น” ณัฐพงศ์เผย
ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการได้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์-29 เมษายน 2555 เวลา 10.00-18.00 น. ที่มิวเซียมสยาม กรุงเทพฯ