
ฟัง 'บิ๊กเฟื่อง' เล่าเรื่อง พล.อ.อ.อิทธพร
ไฮฮอตวันเสาร์ : ฟัง 'บิ๊กเฟื่อง' เล่าเรื่อง พล.อ.อ.อิทธพร
เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน อยู่นานย่อมผูกพันมาก ทว่าสำหรับชายชาติทหารระดับผู้นำสูงสุดแห่งกองทัพอากาศไทย "บิ๊กเฟื่อง" พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ในวัย 60 ปีเต็ม (หมาดๆ) เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งมีชีวิตผูกพันงานราชการทหารมายาวนานถึง 42 ปี..นับจากวันนี้มีเวลาในเขตรั้ว ทอ.เหลืออยู่แค่ 8 เดือน แทนที่จะรู้สึกใจหาย เฉกเช่นคนกำลังก้าวเข้าสู่วัยเกษียณทั่วๆ ไป แต่เขากลับยืนยันหนักแน่นว่า "ดีใจและภูมิใจ"
ในวันที่หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก ได้รับโอกาสให้เข้าเยี่ยมที่บ้านพักผู้บัญชาการทหารอากาศ ย่านพหลโยธิน "บิ๊กเฟื่อง" ของบรรดาเพื่อนสนิทมิตรสหาย หรือ"พี่เฟื่อง" ของน้องๆ ที่เคารพ ในชุดสบายๆ เคียงข้างด้วย หน่อย" นภาพร ศุภวงศ์ ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ร่วมพูดคุยถึงอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิตนอกเหนือภารกิจหลักในฐานะผู้นำกองทัพ
ตลอดระยะเวลา 42 ปีของชีวิตการเป็นทหารอากาศมีหลักในการทำงานอย่างไรบ้าง
ผมว่าทุกคนต้องรู้จักขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตัวเอง ทำงานในหน้าที่ตัวเองให้เต็มที่ตามขีดความสามารถตามที่ได้รับมอบหมายให้แสดงบทบาทนั้นๆ ยกตัวอย่าง คนเป็นพระรองก็ต้องแสดงบทพระรอง ต้องไม่อยากแสดงบทพระเอกหรือบทยักษ์ ตรงข้ามผู้ที่ได้รับบทพระเอกก็ต้องแสดงบทตัวเอง ไม่ใช่จะเล่นบทพระรอง คนทุกคนอาจจะมีความเก่งความสามารถใกล้เคียงกัน แต่คนทุกคนมีโอกาสไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสแสดงความสามารถแล้วก็ต้องทำให้เต็มที่ สมกับบทบาทที่ตัวเองได้รับ ไม่แสดงโอเวอร์ หรือผิดบทบาท และที่สำคัญ แต่ละคนก็ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมเสมอด้วย
เหลือเวลาอีกไม่นานจะต้องเกษียณอายุราชการแล้ว รู้สึกใจหายบ้างไหม
ไม่ใจหายครับ ดีใจ ถึงจะเป็นอาชีพที่รักก็ตาม ผมถือคติที่ว่า เราต้องเตรียมตัวอยู่เสมอ อีกข้อคือ ผมเห็นตัวอย่างจากคุณพ่อ ตอนนี้อายุ 96 ปี ท่านเป็นอดีตข้าราชการทหารอากาศ เกษียณมาแล้ว 36 ปี ทุกวันนี้ท่านยังแข็งแรง นั่นเพราะท่านมีการเตรียมการนั่นเอง ส่วนอีกข้อก่อนจะมาถึงผม ผมเองก็ได้เห็นวัฒนธรรมนี้มาจากอดีตผู้บังคับบัญชาหลายๆ ท่าน ผมมองว่าตำแหน่งก็เหมือนหัวโขน ผมใส่หัวโขนแสดงบนเวทีมานานตั้งหลายบทบาทแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยนให้ท่านอื่นขึ้นมาแสดงบทบาทบ้าง ผมยังคุยกับภรรยาว่า เราต้องเตรียม พอวันที่ 1 ตุลาคมปุ๊บ ชีวิตเปลี่ยนแล้วนะ เปลี่ยนทุกอย่าง จริงๆ แล้วผมบอกทุกคนตั้งแต่เหลือเวลาอีก 1 ปีด้วยซ้ำว่า ต้องเตรียมตัวแล้วนะ
ด้านภรรยา "หน่อย" นภาพร กล่าวเสริมว่า เมื่อช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมาก็เหมือนช่วยเราเตรียมตัวด้วย ตอนนี้ก็เก็บหมดแล้ว จะเหลือก็แค่ห้องรับแขกห้องเดียว เรียกได้ว่าพร้อมจะย้ายทันที อีกอย่างบ้านหลังนี้เป็นบ้านพักรับรอง เมื่อถึงเวลาก็ต้องไปเลย จะมาขอ 3 เดือน 6 เดือน เป็นไปไม่ได้ จริงๆ แล้วเราค่อนข้างชิน เหมือนอย่างตอนสามีไปเป็นผู้ช่วยทูตทหารที่วอชิงตัน 3 ปี พอถึงวันกลับก็ต้องบินกลับประเทศทันที บทบาทอะไรต่างๆ ก็ยุติทันที เกษียณปุ๊บก็ตั้งใจว่าอยากจะท่องเที่ยวทันที เพราะมีเวลามากขึ้น เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น (5555)
วางแผนไว้บ้างหรือยังหลังจบบทบาทชีวิตข้าราชการทหาร
ตอบตรงๆ ว่ายังไม่มี แต่ที่คิดๆ ไว้ก็อยากท่องเที่ยว แต่เรื่องที่ว่าจะปักหลักใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายอยู่ที่ไหนนั้น เนื่องจากทั้งตัวเองและภรรยาเป็นชาวโคราชทั้งคู่ จึงมีญาติพี่น้องที่นั่นทั้งสองฝ่าย มีไร่มีสวนอยู่แถวนั้นๆ แต่ด้วยว่ามาใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ เป็นส่วนใหญ่ จึงต้องไปๆ มาๆ บางวันเป็นชาวสวนปลูกผักปลูกต้นไม้บ้าง บางวันก็เป็นชาวกรุงบ้าง ข้างฝ่าย "หลังบ้าน" แอบบ่นเล็กๆ ว่า สามีเกษียณแต่ของตัวเองยังมีงานให้ทำอีกเยอะ หลักๆ ก็เป็นเรื่องการจัดบ้าน ตกแต่งบ้าน ฯลฯ ที่จะเข้าไปอยู่เมื่อออกจากบ้านพักหลังนี้แล้ว
สนใจการเมืองหรือไม่
ทั้งคู่สามี-ภรรยาต่างประสานเสียงตอบพร้อมกันโดยไม่ต้องเสียเวลาตัดสินใจเลยว่า...ไม่เด็ดขาด ปฏิญาณตนไว้แล้วว่าไม่ทำงานด้านนี้เด็ดขาด ขอใช้ชีวิตเงียบๆ สงบๆ อยู่กับครอบครัว ต้นไม้ สัตว์เลี้ยง กับของสะสมเล็กๆ น้อยๆ ที่ตัวเองเก็บเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ และของเก่าตกทอดมาจากรุ่นคุณยาย อย่างตู้โบราณ ถ้วยชาม กระเป๋าเก่าๆ ของท่าน
โดยอาชีพต้องเข้มงวดเรื่องระเบียบวินัย ขณะที่ลูกทำงานด้านศิลปะและเทคโนโลยี คุณพ่อคุณแม่ใช้หลักอะไรหล่อหลอมให้กฎระเบียบกับศิลปินมาเจอกันครึ่งทางจนอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขได้
ฝ่ายหญิงเดี่ยว (ของบ้าน) ยกมือขอทำหน้าที่ตอบกระทู้ทันทีว่า ถึงสามีจะไม่ได้เอาวินัยของทหารมาใช้ แต่ก็แอบมีแบบเข้มๆ กับลูกบ้าง ซึ่งเธอมองว่าคงไม่ต่างอะไรกับพ่อแม่ท่านอื่นๆ ที่อยากให้ลูกๆ อยู่ในระเบียบวินัย ขณะที่ "พ่อบ้าน" ออกตัวว่า ตอนลูกเด็กๆ เน้นสอนเรื่องจริยธรรมทั่วๆ ไป เรื่องระเบียบวินัย ความรับผิดชอบ แต่ก็ผ่อนปรนบ้าง อย่างตัวเองเป็นทหารเรื่องตรงต่อเวลาสำคัญมาก กับสั่งลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชาได้ แต่ที่บ้านนี่สั่งไม่ได้ (5555) อย่างนัดกันจะออกไปข้างนอก 10 โมง พอถึงเวลาเราพร้อมแต่ลูกๆ ไม่พร้อมก็เป็นความขัดใจบ้าง แต่เมื่อมาคิดอีกที ถึงเขาจะเป็นลูกทหาร แต่ก็เติบโตที่เมืองนอก ด้วยสังคมค่อนข้างเสรี ต่างจากตัวเองที่เติบโตมาในครอบครัวทหารจริงๆ คุณพ่อคุณแม่ทั้งตาเป็นทหารหมด และเมื่อลูกโตขึ้น อย่างคนโตอายุ 31 ปี คนเล็กอายุ 29 ปี จะใช้การพูดคุยการแนะนำมากกว่าการสอน เช่น ถ้าจะมีครอบครัวอย่ามีโดยบังเอิญ เพราะต้องอยู่กันไปตลอดชีวิต อย่างน้อยๆ ต้องพูดคุยกันรู้เรื่อง หรือชอบอะไรเหมือนๆ กัน
ลูกชายทั้ง 2 คนไม่มีใครบินตามรอยพ่อเลยแอบเสียดายบ้างไหม
ต่อข้อสงสัยนี้ "บิ๊กเฟื่อง" ขอทำหน้าที่แจงแทนหนุ่มๆ ทั้งสองที่บังเอิญติดธุระ ทำให้ไม่สามารถอยู่ตอบคำถามได้เอง...ผมว่าอยู่ที่จังหวะชีวิตมากกว่า การเป็นทหารอากาศต้องผ่านโรงเรียนเตรียมทหาร และโรงเรียนนายเรืออากาศ แล้วช่วงอายุตอนนั้นเขาเรียนอยู่ต่างประเทศ เนื่องจากติดผม ซึ่งไปรับตำแหน่งผู้ช่วยทูตทหาร ซึ่งเป็นจังหวะที่ลูกคนเล็กเรียน ม.1 ส่วนลูกคนโตเรียน ม.3 พอครบเทอมที่ผมต้องกลับ ลูกๆ เขาก็ขอเรียนต่อที่นั้น ก็เลยเปลี่ยนวิถีชีวิตไปทางด้านนั้นไปเลย อีกอย่างลูกๆ คงเห็นว่าชีวิตทหารไม่ใช่ชีวิตที่สบาย อย่างตอนเขายังเล็ก ผมเป็นนักบิน ต้องออกไปบินตั้งแต่เช้า ลูกยังไม่ตื่น พอพ่อกลับเข้าบ้านอีกทีลูกก็หลับกันหมดแล้ว กว่าจะได้เจอกันทีก็ต้องรอวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
ฟาก "ภริยา" ผู้รู้ใจและอยู่เคียงกายสามีมานานถึง 33 ปี กล่าวเสริมอย่างรู้ใจลูกๆ ว่า เรื่องเป็นทหารลูกคงไม่คิด เพราะที่บ้านเป็นครอบครัวใหญ่ ฝ่ายแม่ทำงานด้านธนาคาร ด้านการออกแบบตกแต่ง ขณะที่ฝ่ายพ่อรับราชการทหาร ลูกๆ จะเห็นข้อแตกต่างว่าอาชีพไหนทำแล้วได้สตางค์เยอะๆ อีกอย่างการเป็นทหารต้องอยู่ในระเบียบวินัยมาก (พ่อแอบเสริม...ลูกชอบ สบาย) แต่พอโตก็จะมีระเบียบวินัย ความสะอาดเหมือนคุณพ่อมากขึ้น เหมือนเขาค่อยๆ ซึมซับมาทีละน้อย...แต่ไม่สนใจเรื่องเวลา (คุณพ่อย้ำอีกรอบ)
สามีทุ่มเทให้งาน ภรรยาและลูกๆ แอบน้อยใจบ้างไหม
แรกๆ ก็เคยมีบ้างเวลาทำอะไรแล้วไม่ถูกใจท่าน เพราะอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจวิถีชีวิตของทหาร แต่พอนานวัน เมื่อเริ่มเข้าใจดีขึ้น ประกอบกับสามีไม่ใช่คนเคร่งครัดมากๆ เวลาอยู่กับครอบครัว ตรงข้ามยังจะเป็นคนอะลุ่มอล่วยมากๆ อีกด้วย ส่วนตัวเราถ้าไม่ติดจะต้องไปช่วยงานที่สมาคมแม่บ้านทหารอากาศก็อ่านหนังสือบ้าง ปักครอสติซบ้าง ปลูกต้นไม้บ้าง ไม่มีเวลาเหงา เสาร์-อาทิตย์จะเป็นวันของครอบครัว พากันไปไร่ที่โคราชบ้าง ไปทะเลด้วยกันบ้าง ส่วนลูกๆ โตจนทำงานกันทั้งสองคนแล้วก็มีกิจกรรมของแต่ละคนไป ความรู้สึกเหล่านั้นก็ไม่มีแล้ว จะมีแต่ความภาคภูมิใจ
ในฐานะแม่บ้านแล้วต้องไปช่วยสมาคมด้วย แบ่งภาคเพื่อรักษาสมดุลระหว่างงานสังคมกับงานในบ้านอย่างไร
ปกติชีวิตครอบครัวเราจะเรียบง่าย อันที่จริง "คุณเฟื่อง" จะเป็นฝ่ายประสานระหว่างฝ่ายแม่กับลูกๆ ซะมากกว่า เพราะเราผู้หญิงบางครั้งก็มีหงุดหงิดบ้าง เขาจะคอยบอกให้ใจเย็นๆ ไม่ให้เคร่งเครียด อย่างการทำงานที่สมาคมบางครั้งก็มีเรื่องจุกจิกบ้าง พ่อบ้านจะคอยปลอบคอยให้กำลังใจ เดี๋ยวก็ผ่านไป ถึงตอนนี้ลูกๆ โตกันหมดแล้ว ทางบ้านก็ไม่ต้องมีภาระอะไรมาก ประกอบกับมีคนช่วย ก็ทำให้มีเวลาไปช่วยงานสังคมเต็มที่ เรียกว่าทำไปควบคู่กันให้เห็นว่า แม่บ้านก็มีกิจกรรมตลอด ไม่ได้อยู่กันเฉยๆ อย่างตอนนี้ก็ขายดอกป๊อปปี้ ถัดไปก็งานกาชาด
ฟัง "บิ๊กเฟื่อง" เล่าเรื่อง พล.อ.อ.อิทธพร...อาจจะไม่ใช่คำสอนที่ดีที่สุด แต่อย่างน้อยก็ช่วยสะท้อนถึงข้อคิดที่ว่า ไม่ควรยึดมั่น...ไม่ควรยึดติด ได้ชัดเจน ในยุคที่ผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยยังผูกตัวเองติดอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ!!!
........................................
(ไฮฮอตวันเสาร์ : ฟัง 'บิ๊กเฟื่อง' เล่าเรื่อง พล.อ.อ.อิทธพร)