
พักกาย ไปแสวงบุญที่เขาคิชฌกูฏ
ชวนเที่ยว : พักกาย ไปแสวงบุญที่เขาคิชฌกูฏ
วันนี้จะพาเที่ยวไป ไหว้พระไป ไม่ไกลเมืองกรุง เพราะอยู่แค่อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรีเอง อำเภอนี้ มีทั้งแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ คือ อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ แล้วยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คือ เขาพระบาท ซึ่งช่วงนี้กำลังมีการจัดงานเทศกาลประจำปีพอดี
จากถนนทางหลวงหมายเลข 3 เลี้ยวซ้ายที่สี่แยกเขาไร่ยา เข้าอำเภอคิชฌกูฏ ประมาณ 22 กม. ถึงที่ตั้งอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 14 ประกาศเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2520 มีพื้นที่ป่าประมาณ 36,444 ไร่ เชื่อมต่อกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว ทำให้ผืนป่าและสัตว์ป่ามีพื้นที่เพิ่มมากขึ้น สภาพป่าส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบ ผสมป่าดิบเขา จึงมีความหลากหลายทางธรรมชาติ เป็นแหล่งดูนกของนักดูนก ทั้งยังมีกล้วยไม้หลายสายพันธุ์ แต่ที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดจันทบุรี คือ กล้วยไม้ ”เหลืองจันทบูร” มีให้เห็นได้ไม่ยากที่อุทยานฯ นี้
ภายในเขตอุทยานฯ มีสถานที่พักผ่อนร่มรื่น และเงียบสงบ มี ”น้ำตกกระทิง” เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัดจันทบุรี มีน้ำตกถึง 7 ชั้น สามารถเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย ชั้นล่างปรากฏเป็นหาดทรายกว้างใหญ่ ชื่อว่า”หาดกระทิง” ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้พักผ่อนอย่างสบายท่ามกลางไม้ใหญ่ร่มรื่น ตามแอ่งน้ำตกแต่ละชั้น มีปลาอาศัยอยู่มาก นักท่องเที่ยวสามารถ ทำ ”สปาเท้า” ได้ฟรี โดยการนั่งแช่เท้า เฉยๆ ไม่นานนัก ปลาตัวเล็กๆ จะออกมาทำความสะอาดเท้า ให้อย่างเพลิดเพลิน ถ้าใครได้มาเที่ยวน้ำตกกระทิง รับรองว่าจะประทับใจกลับไปทุกราย
ด้านหน้าของที่ทำการอุทยานฯ เป็นลานกางเต็นท์ และเป็นอ่างเก็บน้ำ มีศาลาที่พักริมน้ำไว้ให้นักท่องเที่ยวได้พักผ่อนเลี้ยงปลา หรือจะนั่งเพลินๆ ดูเจ้ากระเต็นท์น้อยธรรมดา ไล่จับลูกปลาให้ชม หรือจะเช่าเสื้อชูชีพและเรือพาย ออกพายเล่นได้อย่างสนุกสนาน ทั้งยังสามารถพายไปได้ถึงหาดกระทิงและน้ำตกชั้นที่หนึ่งได้อีกด้วย ที่นี่ยังมีกิจกรรมเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ดูนก และพันธ์กล้วยไม้ต่างๆ จากจุดชมวิวเราสามารถมองเห็นน้ำตกกระทิงชั้นบนสุด ทิ้งตัวยาวลงมาท่ามกลางป่าอันอุดม สวยงามเป็นอย่างยิ่ง ใครไม่ชอบกางเต็นท์ก็นอนบ้านพักได้ เพราะอุทยานฯ มีบริการบ้านพักหลายขนาด รวมถึงร้านค้า ร้านอาหารด้วยนับว่าสะดวกสบายเป็นอย่างมาก
ถัดจากน้ำตกกระทิง ไปประมาณ 8 กม. จะเป็น ”น้ำตกคลองไพบูลย์” เป็นลำธารน้ำกว้าง เหมาะแก่การเล่นน้ำ ซึ่งก็มีนักท่องเที่ยวมาเล่นน้ำอยู่ไม่น้อย นักท่องเที่ยวสามารถนั่งแช่น้ำดูผีเสื้อบินผ่านเป็นหมู่คณะได้อย่างเพลินตา มีสถานที่อำนวยความสะดวกในการกางเต็นท์พักแรม มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ และเป็นสถานที่ดูผีเสื้ออีกแห่งหนึ่ง
จากที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ ย้อนกลับออกมาราว 16 กม.จะเป็นทางขึ้น เขาพระบาท ซึ่งจะมีพุทธศาสนิกชนจะเดินทางมานมัสการรอยพระบาทบนยอดเขา โดยเฉพาะในช่วงขึ้น 1 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งเป็นเทศกาลประจำปี ในปีนี้เริ่ม 24 มกราคม ถึง 24 มีนาคม 2555 รอยพระบาทบนยอดเขานี้ ค้นพบเมื่อปี 2397 โดยพรานติ่ง ที่ไปหลงป่ากับเพื่อนระหว่างออกหาของป่ากัน จนมารู้ว่าเป็นรอยพระพุทธบาทก็เมื่อตอนนำลูกชายไปบวชที่วัดพลับ เห็นรอยคล้ายกันที่วัด จึงได้เล่าให้พระที่วัดฟัง หลวงพ่อเพชรเจ้าอาวาสวัดพลับในขณะนั้น ทราบเรื่องจึงให้พระลูกวัดขึ้นไปพิสูจน์ก็เห็นเป็นจริงตามนั้น ถือเป็นการค้นพบรอยพระบาทที่สูงที่สุด สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 ม.
การเดินทางขึ้นเขาพระบาท ไม่อนุญาตให้นำรถขึ้น เพราะทางขึ้นเขาแคบและชันมาก ต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อและต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ หรือชำนาญเส้นทางเท่านั้น โดยเสียค่าบริการ คนละเที่ยวละ 50 บาท นัก พอถึงครึ่งทางต้องเปลี่ยนรถอีกครั้ง ก็ต้องซื้อตั๋วรถอีกคนละ 50 บาท คราวนี้เส้นทางชันกว่าเดิม ยึดเกาะกับตัวรถจนตัวเอียง หวาดเสียวและตื่นเต้นไปกับเส้นทางที่หักเลี้ยวไปมาอย่างสนุกสนาน พอถึงลานจอดรถ ทุกคนถึงกับถอนหายใจอย่างพร้อมเพรียงกัน
จากลานจอดรถ ก็ต้องเดินขึ้นเขา เพื่อไปนมัสการรอยพระบาทบนยอดเขา ทางวัดไม่ให้จุดธูปหรือเทียน เพราะอาจทำให้เกิดไฟไหม้ป่าได้ ทางเดินสะดวกสบาย เดินไปไหว้พระไป ระหว่างทางมีผู้แสวงบุญโปรยกลีบดอกไม้ไปตลอดทาง ทางเดินร่มรื่น มีที่ให้พักเหนื่อยเป็นระยะ เด็กๆ สนุกกับการเดินเคาะระฆังไปตามทาง มีพุทธธรรมคำสอนติดอยู่ระหว่างทางให้เจริญในสติ ระว่างทางจะพบเห็นผู้แสวงบุญมาพักแรมปฏิบัติธรรม อยู่ตามรายทาง จึงต้องการความสงบ
เดินมาพอได้เหงื่อ ถึงลานหินกว้างมาก แต่ก็แคบไปถนัดตาเพราะมีผู้ศรัทธามาก ลานหินเป็นที่ประดิษฐานรอยพระบาทที่มีผู้ศรัทธามากราบไหว้ปิดทองอย่างไม่ขาดสาย ทั้งยังมีหินก้อนใหญ่เรียกกันว่าหินลูกพระบาทตั้งอยู่ใกล้ๆกัน อย่างน่าอัศจรรย์ มีคนเล่ากันต่อมาว่า เคยมีคนเอาด้ายสายสิญจ์คล้องแล้วหลุดลอดออกมาได้ เหมือนกับหินลูกพระบาทตั้งลอยๆ อยู่ ทั้งๆ ที่ตรงนั้นเป็นหน้าผาลาดชัน
พักชมวิวสักครู่ เราก็เข้าไปกราบนมัสการ ท่านพ่อเขียน เกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดจันทบุรี ท่านเมตตาประพรมน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้แสวงบุญทุกท่าน เดินไปไหว้พระต่อได้อีก ซึ่งถัดไปเป็นลานนมัสการเจ้าแม่กวนอิม และพระบรมสารีริกธาตุ มีคำอธิษฐานให้กล่าวตาม เดินไปตามทางอีก จะพบบาตรพระอานนท์เป็นหินก้อนใหญ่รูปร่างคล้ายบาตรพระ ผู้แสวงบุญสามารถรับแผ่นคำตั้งจิตอธิษฐาน เดินรอดใต้บาตรพระอานนท์ สามรอบ และขึ้นไปกราบพระข้างบนต่อได้
จุดหมายปลายทางของเราคือ เขตผ้าแดง ที่อยู่เลยจากบาตรพระอานนท์ ที่นี่จะมีป้ายไม้จารึกไว้ว่า “ผู้พิชิต สุดเขตแดนบุญ ขุนเขาคิชฌกูฏ (ผ้าแดง)” รอบบริเวณนั้นจะมีผ้าสีแดงขึงไว้ มีผู้แสวงบุญมาเขียนคำอธิษฐานที่ตนเองตั้งหมั่นเอาไว้มากมาย
หลังจากได้พูดคุยกับผู้ที่มากราบพระบาท หลายๆ คน บอกว่ามาแล้วหลายครั้ง เนื่องจากตั้งจิตอธิษฐาน และประสบผลสำเร็จดั่งใจหมายบางคนกลับไปได้โชคลาภ จึงเดินทางมากราบนมัสการพระบาททุกปี
เดินกลับลงมาทางเดิม ก็สวนทางกับผู้แสวงบุญกลุ่มอื่นๆ มีหลากหลายอายุ เด็ก หนุ่มสาว จนถึงผู้เฒ่าผู้แก่ ทุกท่านมาด้วยกำลังศรัทธา ความอดทน และจิตตั้งมั่น ดั่งคำที่ว่า ศรัทธาตั้งมั่งอยู่ในสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมสำเร็จตามความมุ่งหมายทุกประการ มีรอยยิ้มส่งแทนกำลังใจให้พอหายเหนื่อย มีการถามไถ่ถึงที่มาของผู้ร่วมเดินทาง ระหว่างทาง มีห้องน้ำ สะอาดสะดวกสบาย บางวันอากาศอาจจะร้อนไปบ้าง แต่ก็มีผู้มาแสวงบุญอย่างไม่ขาดสาย
การเดินทางครั้งนี้ เป็นการฝึกความเพียรและความอดทนอย่างหนึ่ง บางคนมาแต่เช้า เพื่อจะได้ขึ้นเขาก่อนไม่ต้องรอคิวรถนาน และแดดไม่ร้อน บางคนเดินขึ้นเขาเองโดยมีทางเดินเท้าขึ้นเขา โดยไม่ต้องใช้บริการรถสองแถว แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน ทั้งนี้ควรพกน้ำดื่มเพื่อแก้กระหายระหว่างทางไว้ด้วย
สิ้นสุดการเดินทางด้วยรถสองแถว พร้อมทั้งเสียงถอนหายใจเป็นครั้งที่สี่ หัวใจยังคงเต้นแรงจากการนั่งรถลงจากเขา ถ้าสิ่งที่ตั้งใจไว้สำเร็จตามคำอธิษฐาน ปีหน้าเราคงได้มาฝึกความอดทนกันใหม่
หมายเหตุ : ที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ ต.พลวง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี โทร. 0-3945-2074 การเดินทางขึ้นเขาคิชฌกูฏ มีรถตู้บริการจากกรุงเทพฯ ในช่วงเทศกาล ตั้งแต่ 24 มกราคม - 24 มีนาคม 2555
...........................................
(ชวนเที่ยว : พักกาย ไปแสวงบุญที่เขาคิชฌกูฏ )